Do Not Make Eye Contact

นี่เป็นดินแดนเสรี คุณจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่ห้าม “สบตา” ผู้อื่น

ประชาชนโลกแห่งนี้ไม่ชอบการสบตา เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เขาว่ากันว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ”

หัวใจเป็นสมบัติล้ำค่าของคนโลกนี้ พวกเขาหวงแหน พวกเขาไม่อยากมอบมันให้ใคร คุณจะไปเปิดหนังสือตำรากี่ล้านเล่มบนโลกนี้ก็ได้ ฉันพนันได้เลยว่าหน้าแรกของหนังสือ คุณจะเจอประโยคนี้ ‘Do not make eye contact.’

พูดถึงหนังสือคนโลกนี้ชอบอ่านหนังสือมาก มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่คุณสามารถใช้เพื่อหลบเลี่ยงการสบสายตากับคนอื่น

ฉันเองไม่ต้องห่วงเรื่องสบสายตาอะไรหรอก เพราะตาฉันมองไม่เห็นอยู่แล้ว ใช่แล้วล่ะ ฉันตาบอด

การเป็นคนตาบอดในโลกใบนี้เป็นประโยชน์ต่อฉันมาก มันทำให้ฉันสามารถมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่งได้มากกว่าภาพที่สายตาเห็น

เพราะตามองไม่เห็น ฉันจึงต้องฟังให้มากขึ้น และต้องใช้ความตั้งใจ ความละเอียดรอบคอบ เพื่อที่จะได้รับสารได้ชัดเจนขึ้น

มันชัดเจนขึ้นมากทีเดียว

“สวัสดี”

ใครนะ มาขัดจังหวะฉัน กำลังเล่าเรื่องอยู่เลย

ฉันนิ่งเงียบ ไม่ตอบ ทำแบบนี้ไม่ถือว่าเสียมารยาทหรอกคนโลกนี้หวงความเป็นส่วนตัวกันอยู่แล้ว

“สวัสดีอีกครั้ง” เสียงนั้นดังใกล้ขึ้นกว่าเดิม

ฉันไม่อยากสร้างมิตรใหม่ตอนนี้หรอกนะ ให้ตายเถอะ

“คุณจะไม่พูดกับผมจริง ๆ เหรอ”

เขาคิดว่าเขาเป็นใครกัน บ้าหรือเปล่าถึงมาคุยกับคนแปลกหน้า เพราะฉันไม่คุ้นเสียงเขาเลย

“ผมกำลังมองตาคุณอยู่”

เหมือนประสาทสัมผัสทั้งตัวฉันชา เหมือนมีแสงวาบฉายขึ้นมาแวบหนึ่ง

เขากำลังล้อฉันเล่นใช่ไหม ถ้าคนอื่นเห็นว่าเขาสบตาฉันอยู่ เราเจอปัญหาแน่

“หยุดนะ!” ฉันพูดเสียงดัง แล้วมุดหน้าลงฟุบกับโต๊ะ

“ไม่เอาน่า ตาคุณสวยจะตาย”

ฉันได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากผู้คนรอบตัววิพากษ์วิจารณ์ที่ผู้ชายคนนี้สบตาฉัน

แบบนี้ไม่ดีเลย ไม่ดีสักนิด…

“ไม่เป็นไรหรอกน่า คุณตาบอด ไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว จริงไหม”

“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูไม่ดี คนอื่นไม่รู้เสียหน่อยว่าฉันตา…” คำพูดฉันขาดห้วงไปเมื่อนึกอะไรออก

“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันตาบอด” ฉันคว้าหมับเข้าที่แขนเขาและบีบแน่น

“ผมก็อยากรู้ว่าคุณเป็นคนตาบอดยังไง ทำไมถึงไม่ใช้ไม้เท้านำทาง”

“ฉันตาบอดมาตั้งแต่เกิด แล้วก็ไม่เคยไปจากโลกแคบ ๆ นี่ ฉันรู้จักมันทุกซอกทุกมุมแล้ว ไม่ต้องใช้หรอก”

“เจ๋งดี แล้วว่าง ๆ คุณชอบทำอะไรเหรอ อ่านหนังสืออักษรเบรลล์อะไรพวกนั้นเหรอ”

“คุณคิดว่าได้มองตาฉันแล้วคุณจะรู้จักฉันดีขึ้นงั้นเหรอ” ฉันสวนอย่างรำคาญใจ

“แล้วคุณจะปล่อยแขนผมได้หรือยัง”

ฉันรีบเอามือออกจากแขนเขา “โทษที”

ฉันไม่อยากเสียเวลาคุยกับเขาต่อ จึงลุกพรวดจากโต๊ะแล้วจ้ำออกจากร้านอย่างเร็วที่สุด

“เฮ้ย คุณ เดี๋ยวก่อนสิ” เสียงของเขาลับหายไปหลังจากฉันเดินพ้นหัวมุมถนน

ใจฉันเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ใช่แบบโรแมนติกนะ แบบคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแล้วต้องเดินไว ๆ น่ะ ฉันแทบไม่เคยเดินชนใคร แต่วันนี้ด้วยความรีบเลยจับจังหวะฝีเท้าคนไม่ถูก เดินชนไปสามสี่คน

เล่าต่อดีกว่า เมื่อกี้ถึงไหนนะ อ้อ ที่ว่าตาบอดทำให้ฉันเห็นอะไรได้ชัดขึ้น

ครั้งหนึ่งเพื่อนรักเพียงหนึ่งเดียวของฉัน มาหาฉันและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าเธอเผลอมอบหัวใจให้ใครคนหนึ่งไป เธอฟูมฟายว่าผิดหวังในตัวเองแค่ไหนที่เปิดเผยตัวตนของเธอให้คนคนนั้นได้เข้ามารู้จักแบบที่เธอไม่เคยยอมให้ใครมาก่อน

‘มันทำให้ฉันอ่อนแอลง’ เธอคร่ำคราญ

‘ทำไมล่ะ’

‘พวกเราต่างรู้ดีว่าไม่ควรมอบหัวใจให้ใคร ฉันเผลอสบตาเขา เราต่างถูกดึงเข้าไปในโลกต้องห้าม โลกแห่งการเปิดเผย ที่นั่นเลวร้ายเสียยิ่งกว่าอะไรดี’

‘เลวร้ายยังไง’

‘มันวุ่นวาย สับสน และอึดอัด’

ฉันจำได้ว่าตัวเองเงียบเพราะฉันเองก็ไม่เคยเปิดเผยกับใคร จึงไม่รู้ว่าโลกต้องห้ามนั้นเป็นเช่นไร

‘เชื่อฉันนะ อย่าเข้าไปในโลกนั้นเลย มันทรมานมาก ตอนนี้หัวใจของฉันเว้าแหว่งไม่มีชิ้นดี’

‘โอเค ฉันเชื่อเธอ’ ฉันค่อย ๆ เช็ดน้ำตาออกจากแก้มเพื่อนรัก

การสบตาแล้วเปิดหน้าต่างหัวใจให้คนอื่นมันแย่ขนาดนี้เลยเหรอ

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากน้ำเสียงและน้ำตาของเพื่อนได้เป็นอย่างดี ฉันจึงปฏิญาณกับตัวเองว่า จะไม่สบตากับใครหรือเผลอเปิดหน้าต่างหัวใจให้ใครเด็ดขาด

ใครจะอยากเจ็บปวดกัน

“เฮ้อ เหนื่อยชะมัด แต่ในที่สุดก็ตามทัน”

ความคิดฉันสะดุดอีกครั้งเพราะเสียงที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุด

ฉันเดินต่อไปไม่ได้ จะเดินหลีกไปอีกทางก็ไม่ได้เพราะมีคนอยู่เต็มแน่นเอี๊ยดขบวนรถไฟ

ลมหายใจหอบของเขาดังชัดพอ ๆ กับเสียงหัวใจของเขาที่เต้นรัวเพราะเลือดสูบฉีดหลังผ่านการวิ่งสี่คูณร้อยมา

ประตูรถไฟฟ้าน่าจะหนีบเขาซะ… ฉันคิดอย่างหัวเสียในใจ

“คุณนิสัยแย่มากเลยนะ เดินออกมาดื้อ ๆ แบบนั้น เงินค่าเครื่องดื่มก็ไม่จ่าย”

เออ จริงด้วย ฉันลืมไปเลย

“ก็คุณรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของฉัน” ฉันตอบเสียงแข็ง

“ทำไมคุณถึงดื่มกาแฟแพงขนาดนั้น ดีนะที่วันนี้ผมพกเงินมา”

“แล้วปกติคุณไม่พกเหรอ” ฉันถามอย่างฉงน

“ไม่พก ถ้าวันไหนไม่จำเป็นต้องขึ้นรถไฟฟ้า ผมก็เดินเอา อาหารก็พกมาเองจากบ้าน”

ฉันกำลังจะพูดออกไปว่า เจ๋งดี แต่ก็รีบสลัดความคิดนั้นออก

“คิดว่าเท่มากไหม ทำอะไรเพี้ยน ๆ แบบนั้น”

รถไฟฟ้าโค้งทำให้ตัวฉันเอนไปตามแรงโน้มถ่วง ฉันจิกเท้าจนเล็บเจ็บเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเอนไปโดน… เดี๋ยว คุณคิดอะไรอยู่น่ะ ไปโดนหน้าอกผู้ชายบ้าคนนี้น่ะเหรอ ดูหนังรักเยอะไปแล้วนะ ฉันไม่อยากจำใจต้องดมเต่าของผู้ชายข้าง ๆ ต่างหาก

“ผมว่าผมก็เท่พอตัวแหละ” ฉันรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมของแขนทั้งสองข้างของเขา จึงทำให้รู้ว่าเขายักไหล่

“แล้วตามฉันมาทำไม”

“ตามหาความรัก”

เงียบ มีเพียงเสียงดังของรถไฟและเสียงหัวเราะคิกคักของคนที่ยืนอยู่ข้างฉัน

“เอ่อ ไม่เขินหน่อยเหรอ”

ฉันยักไหล่ตอบอย่างกวนประสาท

“ผมเป็นช่างภาพ อยากถ่ายภาพคุณ”

ฉันขมวดคิ้ว

“คงไม่ได้เหมือนเรื่อง Hard Candy ใช่ไหม ที่หลอกสาวเอ๊าะ ๆ ไปว่าจะถ่ายภาพสุดท้ายก็เป็นโรคจิตข่มขืนน่ะ”

“ว้า แย่จัง เสียแผนเลย”

ฉันเกือบหลุดเสียงหัวเราะออกไป แต่ยั้งได้ทัน แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี ฉันเผลอยิ้ม

“เนี่ย ยิ่งคุณยิ้มคุณยิ่งสวย ตาสวย ยิ้มสวย จะไม่ให้ผมอยากถ่ายภาพคุณได้ยังไง”

“คุณกำลังขอฉันในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่สุด อาชีพนี้เป็นอาชีพต้องห้าม เพราะมันจะทำให้คุณแอบมองตาคนอื่นได้”

“โลกนี้ห้ามคน ‘สบตากัน’ ไม่ใช่ห้ามไม่ให้มองหน้าคนอื่น”

ฉันไม่อยากจะยอมรับ แต่เขาพูดถูก

เสียงจากลำโพงรถไฟฟ้าประกาศว่าถึงสถานีที่ฉันต้องลงแล้ว ฉันบอกเขาว่าขอคิดดูก่อน แล้วรีบแทรกตัวออกจากขบวนฝ่าฝูงคนจนผู้ชายคนนั้นหายไปพร้อมรถไฟฟ้าที่พ้นชานชาลา

ขอโทษนะ ฉันว่าตอนนี้ฉันคงไม่สามารถเล่าเรื่องความสามารถพิเศษของตาบอดๆ ของฉันได้แล้ว

หนึ่งอาทิตย์เต็มที่สมองฉันไม่คิดเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องไปเป็นแบบให้ผู้ชายคนนั้นถ่ายภาพ

ทำไมมันว้าวุ่นแปลก ๆ ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย

“เธอโอเคหรือเปล่า” เสียงเพื่อนรักฉันดังขึ้นมาขัดห้วงความคิด

“เธอคิดว่าฉันโอเคไหม” ฉันถามเพราะต้องการคำตอบจริง ๆ

“ฉันว่าไม่นะ เป็นอะไรเหรอ” รู้สึกได้ถึงสัมผัสของมือเพื่อนฉันที่แตะอยู่บนหน้าผาก “ก็ไม่ได้เป็นไข้นี่นา” เธอพึมพำ

“เดี๋ยวกลับมานะ”

พูดจบฉันก็ลุกพรวดเปิดไปที่ประตูแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านกาแฟร้านเดิมทันที

ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม สั่งกาแฟเมนูเดิม

“มาจนได้นะ” เสียงที่คุ้นเคยทักทายอย่างสดใส

“คุณมานี่ทุกวันเลยเหรอ” ฉันถาม

“อื้ม ผมพูดจริงทำจริง ไม่ถอดใจหรอก”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราทั้งสองฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองหน้าฉันอยู่

ฉันสองจิตสองใจแต่ก็เอื้อมมือไปข้างหน้า ปลายนิ้วสัมผัสกับใบหน้านั้น ฉันไม่เก่งศิลปะหรือว่าอะไรหรอก ไม่รู้ว่าหน้าแบบไหนคือเดวิด แบบไหนคือโมนาลิซ่า แต่ฉันรู้สึกได้ถึงผิวหยาบกร้านเหมือนคนเล่นเซิร์ฟเกรียมแดด จมูกโด่งเป็นสันแต่ไม่โด่งมาก ผมตัดสั้นแต่ยุ่งเหยิง และริมฝีปากที่กำลังแย้มยิ้ม

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนฉันกำลังสบตาเขาอยู่และใจฉันก็หล่นวูบไปถึงตาตุ่ม ฉันจึงรีบเอามือออกจากหน้าเขาทันที

ตึกตัก ตึกตัก

ฉันกำมือตัวเองแน่น และภาวนาให้ตัวเองสงบลงสักที

“ผมหล่อไหม” เขาถามเสียงขี้เล่น

“ทำไมคุณถึงอยากถ่ายภาพฉัน” ฉันถามน้ำเสียงจริงจัง

“โอเค แม่คนเป็นการเป็นงาน” เขาพูดปนหัวเราะ “เดือนหน้าผมจะจัดนิทรรศการภาพถ่าย”

มันมีอะไรแบบนั้นในโลกนี้ด้วยเหรอ ฉันคิดในใจ

“ผมอยากให้ผู้คนได้รู้ว่าดวงตาเป็นสิ่งสวยงาม เป็นส่วนที่แทบจะบริสุทธิ์ที่สุดของร่างกายมนุษย์ ผมไม่อยากให้ผู้คนหวาดกลัวการสบสายตา”

“…”

ฉันไม่ได้พูดอะไร แต่ฟังจากน้ำเสียง มันฟังดูเศร้า ๆ แปลก ๆ

“พูดกันตามตรง ไปขอถ่ายภาพใคร เขาก็ไม่ให้ผมถ่ายแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาไม่อยากเผยตาของเขาให้ใครเห็นหรอก ผมเองก็มาร้านกาแฟนี้บ่อยและเห็นคุณประจำจนจับสังเกตได้ว่าคุณไม่ได้มีสายตาปกติ”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง

“มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวที่ผมจะใช้ประโยชน์จากการตาบอดของคุณ แต่มันเป็นทางเดียวที่ผมจะทำสิ่งนั้นได้ แล้วที่ผมบอกว่าคุณตาสวย ยิ้มสวยผมก็หมายความตามนั้นจริง ๆ”

เกิดความเงียบเนิ่นนานราวห้านาที

“เพื่อนฉันบอกว่าการสบตาเท่ากับการเปิดหน้าต่างหัวใจ และการเปิดหน้าต่างหัวใจทำให้เจ็บปวด”

“ใช่ ผมรู้”

“แล้วทำไมคุณถึงขอให้ฉันทำ แค่นี้ไม่พอเหรอ ที่คุณได้มองตาฉันตอนนี้”

“คุณไม่คิดเหรอว่าการเปิดหน้าต่างหัวใจก็เป็นสิ่งที่ดี คุณจะมีโอกาสได้พบเจอเรื่องดีๆ จากการเปิดเผยและรู้จักผู้อื่น เหมือนที่คุณกับเพื่อนของคุณทำไง”

“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันกับเพื่อนไม่เคยสบตากัน”

“คุณแน่ใจได้ยังไง”

ฉันตอบไม่ได้ รู้สึกหนักอึ้งในใจ

“คุณจะรักเพื่อนของคุณได้ยังไงหากคุณไม่ได้เปิดหน้าต่างหัวใจของกันและกัน”

คำถามของเขาดังก้องในหัวฉันอื้ออึงไปหมด นั่นสิ ทำไมฉันรู้สึกรักเพื่อนของฉันนะ เพราะเราสองคนเปิดหน้าต่างหัวใจให้กันโดยไม่รู้ตัวใช่หรือเปล่า

“ก็ได้ ฉันจะทำ แต่จ่ายค่ากาแฟให้ฉันด้วยนะ ฉันรีบจนลืมเอากระเป๋าสตางค์มา”

“อีกแล้วเหรอ” เขาโอดครวญ

ฉันหัวเราะ

—————————————————————————

“ตกลงว่าเรื่องนี้จะสื่อว่าไรวะ” เพื่อนผมถามพร้อมเกาหัวแกร๊ก ๆ

“มึงอย่าเพิ่งขัดดิ กูยังเล่าไม่จบ” ผมถลึงตาใส่มัน

“อ้อ เหรอ”

“หลังจากนั้นหญิงตาบอดก็ไปเป็นแบบให้ชายช่างภาพ นิทรรศการนั้นร้างคนไปสองอาทิตย์ แต่ช่างภาพก็ไม่ถอดใจ เขาเชื่อว่าจะต้องมีคนที่คิดเหมือนเขาแน่ ๆ คนที่สนใจเรื่องความบริสุทธิ์ของดวงตา

แล้ววันหนึ่งก็มีชายชราคนหนึ่งมาชมภาพในนิทรรศการ เขาซาบซึ้งใจจนร้องไห้ออกมา เพราะไม่เคยเห็นอะไรที่สวยงามเท่านี้มาก่อน ชายชราบอกว่าเขาเสียใจที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการปิดกั้นตัวเองและไม่กล้าสบตาใคร ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการสบตา การเปิดเผยดวงตาให้ผู้อื่นเห็นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

ผู้คนเริ่มได้ยินเรื่องราวของนิทรรศการภาพถ่ายนี้มากขึ้น มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ หลายคนบอกว่าภาพพวกนี้ทำให้เขาเจ็บปวด ทำให้เขานึกถึงการเปิดเผยหัวใจครั้งอดีตที่ทำให้ใจของพวกเขาเว้าแหว่ง

แต่สุดท้ายความเจ็บปวดก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปหากเราเลิกยึดติดกับอดีตเลวร้ายเหล่านั้น หากเรากล้าที่จะมองดูทุกอย่างอย่างเต็มตาและเปิดรับเรื่องราวรอบตัว สิ่งดี ๆ ตรงหน้าล้วนดีกว่าอดีตสีจางเป็นไหน ๆ มึงเข้าใจที่กูพูดไหมเนี่ย”

ผมหันไปมองเพื่อนและพบว่ามันนอนหลับน้ำลายไหลไปแล้ว…

ผู้จัดทำ

นางสาวชนิกา ชโลปถัมภ์6240110107นางสาวน้องฟาน อัจฉราวงค์6240110112นางสาวตรีมาศ กุมรัมย์6240110109

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น