ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ หรืออำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม เรื่อง หลักฐานที่คนรุ่นปัจจุบันสามารถค้นคว้าและประสบด้วยตนเอง

ปรีดี พนมยงค์ - วิกิพีเดีย

ประวัติผู้แต่ง

ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ หรืออำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (11 พฤษภาคม 2443 – 2 พฤษภาคม 2526) เป็นนักกฎหมาย อาจารย์ นักกิจกรรม นักการเมือง และนักการทูตชาวไทยผู้ได้รับการยกย่องเกียรติคุณอย่างสูง เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 7 และรัฐมนตรีหลายกระทรวง หัวหน้าสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ประศาสน์การ (ผู้ก่อตั้ง) มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบันคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย) เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ได้รับการส่งเสียให้ได้รับการศึกษาที่ดี สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภา และสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตตั้งแต่อายุ 19 ปี เป็นนักเรียนทุนศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษาขั้นดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยปารีส ในปี 2469 เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งคณะราษฎรในประเทศฝรั่งเศสในปีเดียวกัน จากนั้นเดินทางกลับประเทศเพื่อประกอบอาชีพเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายปกครอง ณ โรงเรียนกฎหมาย หลังการปฏิวัติสยามในปี 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญสองฉบับแรกของประเทศ และวางแผนเศรษฐกิจ หลังเดินทางออกนอกประเทศช่วงสั้น ๆ เนื่องจากปฏิกิริยาต่อแผนเศรษฐกิจของเขา เขาเดินทางกลับมารับตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลพระยาพหลพลพยหุเสนาและแปลก พิบูลสงคราม มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย การวางรากฐานการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนการปฏิรูปภาษี ความเห็นของเขาแตกกับแปลก พิบูลสงคราม เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลระหว่างปี 2484 ถึง 2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามบ่อนทำลายความชอบธรรมของประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. จนฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ถือโทษเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ความขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองอื่นทวีความรุนแรงขึ้น หลังกรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เขาถูกใส่ร้ายจากกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้บงการทำให้เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ต่อมาเกิดรัฐประหาร พ.ศ. 2490 เป็นเหตุให้เขาต้องลี้ภัยการเมืองนอกประเทศ ปี 2492 เขากับพันธมิตรทางการเมืองพยายามรัฐประหารรัฐบาลในขณะนั้นแต่ล้มเหลว ทำให้เขาและพันธมิตรหมดอำนาจทางการเมืองโดยสิ้นเชิง จากนั้นเขาลี้ภัยการเมืองในประเทศจีนและฝรั่งเศสโดยไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีก เขายังแสดงความเห็นทางการเมืองในประเทศไทยและโลกอยู่เรื่อย ๆ จนถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. 2526 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส มีการนำอัฐิเขากลับประเทศในปี 2529 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทาน อนุสรณ์ของเขาประกอบด้วยวันปรีดี พนมยงค์, สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ และสถานที่และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ตั้งตามชื่อเขา เขามีภาพลักษณ์ตั้งแต่เป็นนักประชาธิปไตยไม่นิยมเจ้าไปจนถึงผู้นิยมสาธารณรัฐ การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นจุดด่างพร้อยในชีวประวัติของเขา และศัตรูเขานำมาใช้โจมตีแม้หลังสิ้นชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีหมิ่นประมาทที่ปรีดีเป็นโจทก์ฟ้องนั้น ศาลยุติธรรมให้เขาชนะทุกคดีเขาเป็นสัญลักษณ์ของผู้ต่อต้านเผด็จการทหาร เสรีนิยม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2542 ยูเนสโกยกให้เขาเป็นบุคคลสำคัญของโลก และร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล นอกจากนี้ยังได้รับเสนอชื่อเป็นชาวเอเชียแห่งศตวรรษด้วย

ความเป็นอนิจจังของสังคม - Ookbee ร้านอีบุ๊ค (E-Book) ครบทั้งหนังสือ การ์ตูน  นิตยสาร

เนื้อเรื่อง เรื่อง หลักฐานที่คนรุ่นปัจจุบันสามารถค้นคว้าและประสบด้วยตนเองถึงการที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง

บทที่ ๒

หลักฐานที่คนรุ่นปัจจุบันสามารถค้นคว้าและประสบด้วยตนเอง

ถึงการที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง

             ๒.๑ สำหรับท่านผู้อ่านที่ได้เคยศึกษามนุษยชาติวิทยา หรือได้เคยศึกษาประวัติศาสตร์ของสังคมแห่งมนุษย์ต่าง ๆมาแล้วก็ดีหรือได้เคยสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแก่มนุษยสังคมทั้งหลายในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นี้ก็ดีท่านก็จะเห็นได้เองว่าระบบของมนุษยสังคมใหญ่น้อยทั้งหลายในสกลโลกมิได้นิ่งคงอยู่กับที่คือมีการเปลี่ยนแปลงจากระบบเก่าไปสู่ระบบที่ใหม่ยิ่งกว่าขึ้นไปตามลำดับ

            ก่อนที่จะกล่าวถึงมนุษยสังคมทั้งหลายสำหรับท่านผู้อ่านโดยทั่วไปนั้นขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาความเคลื่อนไหวของสังคมไทยที่ท่านประสบหรือสัมผัสอยู่ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่นี้และที่ท่านสามารถถามผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งเคยประสบมาตลอดจนหลักฐานต่าง ๆ ที่ท่านอาจค้นคว้าศึกษาได้อย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์ยิ่งกว่าการได้ยินคำบอกเล่าของสังคมอื่นที่ท่านยังมิได้เห็นหรือประสบด้วยตนเองท่านจะเห็นความเป็นอนิจจังของระบบสังคมได้ถนัด

             ๒.๒ ท่านย่อมทราบอยู่แล้วว่าเมื่อก่อนวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้นสังคมไทยอยู่ภายใต้ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นระบบที่เก่าแก่มาแล้วหลายศตวรรษระบบนั้นมีพลังมากมายเช่นพระมหากษัตริย์ที่เป็นประมุขของสังคมทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุด คือเป็นเจ้าชีวิตของสมาชิกแห่งสังคมและเป็นเจ้าแผ่นดินหรือนัยหนึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่สำคัญของสังคมในสมัยศักดินา คือ ที่ดินสั่งที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีและเป็นหลักที่ถือต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ว่า

               “ ที่ดินทั้งหลายในแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาฯ เป็นของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ ฯลฯ

               ความสัมพันธ์ในการสมัยก่อนโน้นก็คือ สมาชิกของสังคมเป็นข้าแผ่นดินซึ่งต้องทำงานในที่ดินและทำงานทั่วไปโดยส่งบรรณาการที่เรียกว่า “ส่วย” และ“ อากรค่านา” ให้แก่ประมุขของสังคมแม้ว่าในกาลต่อมาจะตั้งศัพท์ใหม่ว่า“ เงินค่าราชการ” หรือ“ รัชชูปการ” แทนคำว่า“ ส่วย “ก็ตาม แต่มาสราษฎรในชนบทก็มีความเข้าใจในลักษณะที่แท้จริงของเงินชนิดนี้ดีคือยังคงเรียกว่า“ ส่วย” อยู่นั่นเองโดยไม่นำพาต่อศัพท์ใหม่เช่นมวลราษฎรในชนบทไปชาระเงินรัชชูปการก็เรียกว่าไปเสีย“ ส่วย” เป็นต้น

                 ๒.๓การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์การผลิตจากการที่พระมหากษัตริย์เป็นเจ้าชีวิตและเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหลายในสังคมดังกล่าวแล้ามาเป็นระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งอำนาจอธิปไตยมาจากปวงชนชาวไทยและดังนั้นปวงชนชาวไทยจึงเป็นเจ้าของแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญส่วนอาญาสิทธิ์ของเจ้าของนาซึ่งเป็นอำนาจของรัฐชนิดหนึ่งที่เจ้าของนามีอำนาจยึดทรัพย์สินตลอดจนเครื่องมือ ข้าวกิน ข้าวปลูกของลูกนา (ซึ่งยังคงมีอยู่ในสังคมอื่น ๆ จนกระทั่งไม่นานมานี้ที่เจ้าของนามีอำนาจยึดข้าวทุกเมล็ดและเครื่องมือทุกอย่างตลอดจนเอาลูกเมียของลูกนาไปทำงานใช้หนี้) นั้น พ.ร.บ. ว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกร พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ได้ประกาศใช้โดยมิชักช้าเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิตระหว่างเจ้าของนากับลูกนาโดยถอนอาญาสิทธิ์ที่เจ้าของนาได้รับไว้สืบต่อกันมานั้นซึ่งเป็นการเปลี่ยนความสัมพันธ์เก่าระหว่างเจ้าของนากับลูกนาให้เป็นความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างผู้ให้เช่ากับผู้เช่าแห่งระบบธนานุภาพหรือทุน ฉะนั้น ต่อจากนั้นเราจึงไม่เห็นสภาพการยึดทรัพย์ของกสิกรในสังคมไทยเหมือนดังในสังคมอื่นซึ่งเพิ่งเลิกไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ส่วนเงินรัชชูปการและอากรคำนาอันเป็นซากของเงินส่วยก็ได้ยกเลิกไปโดยประมวลรัษฎากรซึ่งปรับปรุงภาษีอากรให้เป็นธรรมแก่สังคมที่เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๒            

                    ข้อสังเกต

                    การเปลี่ยนแปลงระบบปกครองของประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ (ค.ศ. ๑๙๑๑) ซึ่งมีท่านซุนยัดเซ็น เป็นหัวหน้านั้นแม้ว่าได้ล้มระบบจักรพรรดิราชาธิปไตยแล้วได้สถาปนาระบบสาธารณรัฐขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๑๒ (พ.ศ. ๒๔๕๔) แทน แต่ความสัมพันธ์การผลิตตามระบบการผลิตศักดินายังคงเป็นอยู่ตามเดิมคือเจ้าของที่ดินยังคงมีอาญาสิทธิ์ยึดข้าวทุกเมล็ด และเครื่องมือทำนาของลูกนา และเอาลูกเมียของลูกนาไปทำงานใช้หนี้ได้อาญาสิทธิ์ของเจ้าของนาจีนดังกล่าวยังคงมีอยู่ต่อมาอีก ๓๘ ปีจนกระทั่งประชาชนจีนภายใต้การน้าของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ชัยชนะต่อพรรคกั๊วะมินตั๋ง และได้สถาปนาระบบ“ สาธารณรัฐของราษฎรจีน” (People’s Republic of China) ขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๙ (พ.ศ. ๒๔๙๒) รัฐบาลของราษฎรจีนได้มีการปรับปรุงระบบที่ดินในชนบทของเจ้าที่ดินโดยยึดเอามาแบ่งให้ราษฎรเป็นเจ้าของแล้วจัดระบบร่วมแรงงานในการผลิตเป็นเบื้องแรกซึ่งพัฒนาต่อมาเป็นระบบสหกรณ์

จากระดับตำสู่ระดับสูงตามลำดับและพัฒนาต่อมาเป็น“ สหการ” (Commune) ส่วนที่ดินและอาคารของเอกชนในเมืองนั้นเจ้าของที่ดินยังคงเป็นเจ้าของต่อไปโดยมิได้ถูกเวนคืน  ถ้ารัฐบาลต้องการใช้ที่ดินและอาคารของเอกชนในเมืองรัฐก็เจรจาขอซื้อหรือขอเช่า

                    ชาวจีนรวมทั้งคอมมิวนิสต์จีนจำนวนข้างมากที่สุด (ยกเว้นจำนวนน้อยไม่กี่คน) ถือว่าการเปลี่ยนระบบสังคมจีนเมื่อ ค.ศ. ๑๙๑๑ เป็น“ เก๋อมึ่ง” เรียกเป็นศัพท์จีนว่า“ ซึ่งให้เก๋อมิ่ง” คำว่า“ ซึ้งไห้

“เป็นชื่อของปีตามปฏิทินจีนที่ตรงกับ ค.ศ. ๑๙๑๑ และคำว่า“ เก้อถึง” ที่เทียบได้กับคำอังกฤษ“ Revolution” เรฟโวลูชัน) ส่วนการเปลี่ยนระบบสังคมจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นแม้ยังไม่เปลี่ยนความสัมพันธ์การผลิตศักดินาให้หมดสิ้นไปก็เป็น“ เก๋อมิ่ง”

                          ๒.๔ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาสังคมไทยก็ได้เข้าสู่ระยะหัวต่อระหว่างระบบเก่าและระบบใหม่จนถึงปัจจุบันนี้และจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่าใดเราก็ไม่อาจกำหนดเป็นเงื่อนเวลาได้เพราะเงื่อนเวลาเช่นนี้ย่อมขึ้นอยู่แก่เงื่อนไข

                         ในระหว่างหัวต่อนี้เราจึงเห็นได้ว่าในทางการเมืองภายในของสังคมนั้นสถาบันและระบบการเมืองที่ได้สถาปนาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่คงอยู่กับที่รัฐธรรมนูญและการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมากมายหลายฉบับซึ่งบางฉบับก็ถอยหลังเข้าไปหาระบบเก่าหลายก้าวบางฉบับก็ก้าวหน้ายิ่งขึ้นจนถึงกับให้มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นสภาผู้แทนหรือพฤฒิสภา

                          ๒.๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสังคมไทยกับสังคมธนานุภาพทั้งหลายนั้น รูปธรรมก็ปรากฏว่าประมาณ ๑๐๐ ปีมานี้สังคม ธ นานุภาพหลายสังคมได้บังคับให้สังคมศักดินาไทยจำต้องยอมให้สังคมธนานุภาพใหญ่น้อยได้มีองใสิทธิ์ในทางศาลทางศุลกากรทางเศรษฐกิจและการเมือง ฯลฯ เหนือสังคมไทยตามสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคอันเป็นผลให้สังคมไทยต้องตกเป็นสังคมที่เสมือนเมืองขึ้นหรือกิ่งเมืองขึ้นของสังคมธนานุภาพเหล่านั้นและเปิดการค้ากับมีการเศรษฐกิจอย่างใหม่ตามทำนองของระบบ ธ นานุภาพแทรกขึ้นมาอีกระบบหนึ่งในสังคมศักดินาไทย แต่อนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้ของระบบ ธ นานุภาพนั่นเองสังคมไทยได้บอกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคกับสังคมธนานุภาพใหญ่น้อยต่าง ๆนั้นใน พ.ศ. ๒๕๗๙ แล้วได้ทำสนธิสัญญาใหม่กับสังคมต่าง ๆบนพื้นฐานแห่งความเสมอภาค

                         ระยะหัวต่อระหว่างระบบคล้ายอาณานิคมหรือกึ่งอาณานิคมกับระบบใหม่ซึ่งต้องการความเป็นเอกราชสมบูรณ์ยังคงเป็นอยู่เพราะสังคม ธ นานุภาพยังคงมีอยู่สังคมธนานุภาพบางสังคมที่สูญเสียอภิสิทธิ์ไปแล้วก็พยายามได้อ่านาจคืน แต่สังคมธนานุภาพใดได้ฟื้นอำนาจมาก็เป็นเรื่องชั่วคราวเพราะในที่สุดอำนาจนั้นก็ต้องสลายโดยพลังของระบบใหม่เช่นสังคม ธ นานุภาพญี่ปุ่นได้มีอำนาจเหนือสังคมไทยในระหว่างมหาสงครามครั้งที่ ๒ นั้นก็ต้องสลายไปตามกฎแห่งอนิจจัง

                           เมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้นคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยคิดว่าระบบอาณานิคมอังกฤษและฝรั่งเศสในเอเชียยังมั่นคงแข็งแรงอยู่ แต่บัดนี้ก็ประจักษ์ว่าระบบเช่นนั้นได้เสื่อมไปเร็วเกินความคาดหมายเช่นอินเดียปากีสถานพม่าลังกามลายูได้รับความเป็นเอกราชพันจากระบบอาณานิคมของอังกฤษกัมพูชา ลาว เวียตนัม ได้รับความเป็นเอกราชพ้นจากระบบอาณานิคมของฝรั่งเศสดังนั้นจะเห็นได้ว่า

ระบบธนานุภาพย่อมไม่จีรังแม้จะมีอำนาจและแสนยานุภาพที่แสดงว่าเข้มแข็ง แต่เมื่อระบบธนานุภาพได้เจริญเติบโตยิ่งขึ้นจนเป็น บรมธนานุภาพ ซึ่งเป็นขีดสูงสุดที่จะพัฒนาอีกต่อไปไม่ได้ แล้วก็สำเนินสู่ความเสื่อมและความสลายในที่สุดจักรภาพโรมันในอดีตก็เป็นตัวอย่างที่ส่อให้สังคม ธ นานุภาพทั้งหลายบรรดาที่มีอิทธิพลเหนือสังคมไทยเห็นกฎแห่งอนิจจังของเขาได้

                       ๒.๖ ถ้าเราจะระลึกหรือค้นคว้าศึกษาภายในของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีอยู่หลายศตวรรษก่อนวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้นเราจะเห็นได้ว่าภายในระบบนั้นเองได้มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดยั้งตามวิถีดังกล่าวข้างต้นคือมีพลังเก่าและพลังใหม่ภายในระบบนั้นเอง แต่พลังใหม่ที่ก้าวหน้าของระบบย่อมได้ชัยชนะในการทำให้สังคมไทยก้าวหน้าเท่ากับที่การก้าวหน้านั้นไม่กระทบถึงตัวระบบนั้นการปรับปรุงระบบบริหารและตุลาการในรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลต่อ ๆ มาเป็นการทำให้สังคมไทยก้าวหน้ามางประการเฉพาะที่เกี่ยวกับราษฎรสามัญทั่วไป แต่ยังคงรักษาระบบเก่าส่วนบนไว้เช่นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์และอภิสิทธิ์ของพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไม่ต้องขึ้นศาลสำหรับราษฎรทั่วไป ฯลฯ แต่ในที่สุดระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งอนิจจังโดยพลังใหม่ของสังคมส่วนระบบ ธ นานุมาพหรือระบบทุนนั้นยังคงมีเหลืออยู่

                 ๒.๗ ถ้าเราจะพิจารณาสภาพของสังคมไทยที่เป็นอยู่เมื่อก่อนร. ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๕๔๔) อันเป็นสมัยที่ยังมีระบบทาสหรือท่านที่อยู่ในภาคพายัพจะพิจารณาเพียงสภาพก่อน ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๕๕๔) อันเป็นสมัยที่ยังมีระบบทาสอยู่ในภาคพายัพก็จะเห็นได้ว่าสังคมไทยเคยผ่านระบบทาสมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้เองระบบทาสของเรามีกฎหมายอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ผู้สนใจอาจศึกษาได้ง่ายกว่าระบบทาสกรีกและโรมันจากตำรายุโรปที่ผ่านมาหลายทอดหรือจะสอบถามท่านผู้สูงอายุซึ่งจำความในสมัยนั้นได้ก็คงได้ข้อเท็จจริงที่ท่านเหล่านั้นได้ประสบภายในระบบทาสนั้นเองก็มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าเป็นลำดับมาเช่นมีการยกเว้นมิให้ลูกทาสต้องตกเป็นทาสตามพ่อแม่การกำหนดเกษียณอายุทาสเพื่อให้ทาสที่มีอายุครบกำหนดที่บัญญัติไว้ได้มีอิสรภาพหรือความเป็นไทการบัญญัติให้ทาสมีบุคคลสมบัติแห่งการเป็นมนุษย์ยิ่งขึ้น ฯลฯ ในที่สุดระบบทาสก็เลิกไปตามนิตินัยโดยพระราชบัญญัติทาส ร.ศ. ๑๒๔ และใช้บังคับทั่วราชอาณาจักรครบถ้วนเมื่อ ร.ศ. ๑๓๐

                เราควรสังเกตไว้ด้วยว่า  ระบบทาสในสังคมไทยนั้นได้อยู่คู่เคียงกับระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นเวลาช้านาน

                 ๒.๘ ส่วนการที่จะพิจารณาย้อนหลังขึ้นไปว่าก่อนมีระบบทาสนั้นสังคมไทยเคยอยู่ในระบบใดเราก็อาจจะพิจารณาได้จากมนุษย์ดั้งเดิมที่ยังมีเหลืออยู่ในดินแดนแห่งสังคมไทยนี้เองเช่นพวกเงาะชาวน้ำ ฯลฯ ซึ่งเมื่อประมาณ ๕๐ ปี มานี้ยังมีความเป็นอยู่ชนิดพเนจรมิได้ยึดถือที่ดินไว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตนและ

มีความเป็นอยู่ชนิดร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในสังคมน้อย ๆ นั้นซึ่งยังเป็นประเพณีตกทอดมาถึงชาวชนบทในปัจจุบันที่มีการร่วมมือกันในการทำนาเช่นการลงแขกไกนาดำนาเกี่ยวข้าว ฯลฯ ชนเผ่าต่าง ๆซึ่งหลายคนเรียกเขาเหล่านั้นว่าชาวป่านั้นว่าที่แท้ชนเผ่านั้นเป็นมนุษย์เจ้าของถิ่นเดิมความเป็นอยู่ของเขายังคงแสดงให้เห็นซากแห่ง ระบบปฐมสหการ ที่มีความเป็นอยู่ร่วมกันสังคมตั้งเดิมของมนุษย์ที่พัฒนาครบรูปสามัคคีธรรมก็ได้มีอยู่ ณ ตำบลแห่งหนึ่งระหว่างจังหวัดขอนแก่นกับจังหวัดเลยเมื่อประมาณ ๘๐ ปีก่อนมานี้สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เสนาบศึกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้นได้เสด็จไปตรวจราชการถึงตำบลนั้นแล้วได้ทรงเขียนรายงานถึงความเป็นอยู่ร่วมกันตามระบบนี้ว่าราษฎรมีความเป็นอยู่อย่างผาสุกซึ่งพระองค์เปรียบเทียบว่าเป็นโซเชียลิสต์ สังคมไทยดึกดำบรรพ์ที่มีสภาพเป็นโซเชียลิสต์ชนิดหนึ่งตามลักษณะที่เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยพระองค์นั้นได้ทรงพรรณนาไว้ แต่เป็นโซเชียลิสต์แห่งยุคปฐมกาล หรือ   ระบบปฐมสหการ

                   ระบบสังคมนี้ไม่คงอยู่กับที่คือมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยมีระบบใหม่ขึ้นมาแทนที่ดังนั้นเราอาจจะพบว่าระบบปฐมสหการได้เสื่อมโทรมไปมากในชนเผ่าดั้งเดิมต่าง ๆ และสังคมที่เสนาบดิพระองค์นั้นตรัสชมเชยความผาสุกไว้ก็ไม่มีสภาพเหมือน แต่ก่อนแล้วโดยเปลี่ยนแปลงไปตามระบบใหม่ของสังคมไทยทั่ว ๆไป

                    ๒.๙ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นโดยพิจารณาจากปัจจุบันถอยไปหาปรากฏการณ์ในอดีตนั้นบัดนี้ถ้าเราจะลำดับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้เราก็จะเห็นว่าในสมัยดึกดำบรรพ์สังคมไทยเคยมีระบบสังคมชนิดต่าง ๆของมนุษย์ตั้งเดิมซึ่งพัฒนาเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ก็จัดเข้าอยู่ในประเภทที่เรียกว่าระบบปฐมสหการ (PRIMITIVE COMMUNAL SYSTEM) เมื่อระบบปฐมสหการเสื่อมลงไปก็มีระบบใหม่คือระบบทาสระบบศักดินาระบบ ธ นานุภาพหรือระบบทุนได้เกิดแทรกขึ้นมาตั้งแต่ครั้งสังคมไทยยังมีระบบทาสปะปนอยู่กับระบบศักดินาเมื่อระบบทาสสลายไปดังกล่าวแล้วระบบ ธ นานุภาพก็ดำเนินคู่เคียงมากับระบบศักดินาระบบศักดินาในส่วนที่เกี่ยวด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สลายไปโดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ระบบ ธ นานุภาพในส่วนที่เกี่ยวแก่ระบบคล้ายอาณานิคมตามสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคได้หมดไปตามที่กล่าวมาแล้ว ระบบของสังคมไทยในปัจจุบันจึงมีบางส่วนของระบบศักดินาผสมกับระบบ ธ นานุภาพในส่วนที่เกี่ยวแก่ความสัมพันธ์การผลิตแบบใหม่ระหว่างคนไทยด้วยกันเองและระบบ ธ นานุภาพในส่วนที่เกี่ยวแก่ความสัมพันธ์การผลิตระหว่างคนไทยและคนต่างด้าวที่มีอานุภาพมหาศาลหรือบรม ธ นานุภาพ  ส่วนชื่อของสังคมไทยในปัจจุบันจะเรียกกันว่ากระไรนั้นก็สุดแท้ แต่ความพอใจของผู้เรียกซึ่งอาจเรียกตามสูตรสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือสภาวะที่เป็นจริงซึ่งเป็นสาระ

                    ปัจจุบันนี้สังคมไทยจึงอยู่ในระหว่างหัวต่อระหว่างระบบต่าง ๆข้างบนนั้นซึ่งสลับซับซ้อนและยังเป็นหัวต่อระหว่างระบบเหล่านั้นกับระบบที่ใหม่กว่าซึ่งราษฎรเรียกร้องกันอยู่ในปัจจุบันนี้ที่ต้องการให้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์เช่นให้ยกเลิกสมาชิกสภาประเภทที่ ๒ และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด ฯลฯ

                    สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอนิจจัง

ไฟล์เสียง เรื่อง หลักฐานที่คนรุ่นปัจจุบันสามารถค้นคว้าและประสบด้วยตนเองถึงการที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง

https://drive.google.com/file/d/1ac0-nZb-fwzbNyY4wy12puF5vzqvZKsz/view

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น