ไพฑูรย์ ธัญญา เรื่อง ก่อกองทราย

ประวัติผู้แต่ง

ไพฑูรย์ ธัญญา (26 พฤษภาคม พ.ศ. 2499  ) เป็นนามปากกาของ รองศาสตราจารย์ 
ดร. ธัญญา สังขพันธานนท์ เกิดที่ ต.ท่ามะเดื่อ อ.เขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เป็นบุตรคน​ที่ 6 ในจำนวน 8 คน ของนายชู และนางคลี่ สังขพันธานนท์ บิดาเป็นครู นามสกุลเดิม คือ ชูแหละ สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษมุสลิม จบการศึกษา กศ.บ.จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา(ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยทักษิณ) จบ กศ.ม.จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลก เคยเป็นครูสอนชั้นประถม ในโรงเรียนแถวบ้านเกิดพัทลุงและที่สุโขทัย ก่อนมาสอนวิชาวรรณกรรมวิจารณ์ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย และคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก
ปี พ.ศ. 2559 ได้รับเลือกจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย รับรางวัลวรรณกรรมแม่น้ำโขง ณ เมืองคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน
เขาได้รับปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร

ไฟล์เรื่อง ก่อกองทราย

https://drive.google.com/file/d/1PjOwze9Qe4Wy656ipeG3UDeRnE7W1xmC/view?usp=sharing

เนื้อเรื่อง ก่อกองทราย

ก่อกองทราย

พิมพ์ครั้งแรก: มติชนสุดสัปดาห์ 1 เมษายน 2527

ลำน้ำนั้นไหลมาจากทิศตะวันตกทอดตัวเลื้อยเลี้ยวเข้าเขตหมู่บ้านแบ่งแผ่นดินออกเป็นสองส่วนฟากฝั่งสองข้างมีบ้านเรือนตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ สลับกับสวนยางพาราและสวนผลไม้ริมคลองด้านหนึ่งมีทางเดินลาดลึกจนถึงหาดทรายใต้คุ้งน้ำที่หักโค้งเป็นข้อศอกลำน้ำยามแล้งตื้นเขิน แต่สายน้ำยังคงเลื่อยรินสม่ำเสมอหลุมพอต้นใหญิงอกงชิดตลิ่งแผ่กิ่งก้านสาขาทอดเงาไปยาวไกลปกคลุมหาดทรายและลำน้ำช่วงนั้นด้วยเงาเย็นร่มรื่น

วันแล้งร้อนอย่างร้ายกาจแผ่นดินระยิบระยับด้วยเปลวแดดสวนยางพาราสลัดใบร่วงโปร่งโล่งเปลือยกิ่งก้านอาบแดดอยู่เคร่งขรึมเงียบเหงาลมสงัดใบไม้ใบหญ้าไม่ไหวติงมะพร้าวยอดด้วนยืนตายสงบงันอยู่เหนือฝั่งสรรพสิ่งเหมือนยอมสยบต่อฤทธิ์ร้ายของตะวันกล้าในยามเที่ยงพวกเขามากันห้าคนเดินนำหน้าเป็นเด็กชายตัวโตกว่าเพื่อนตามด้วยเพื่อนชายอีกสามคนเหลือรั้งท้ายเป็นเด็กหญิงตัวเล็กไม่สวมเสื้อแก้มของเธอแดงเพราะพิษแดดพอ ๆ กับหัวไหล่และร่องหลังที่เปล่าเปลือยทั้งหมดย่างมาบนพื้นทางที่ปกคลุมด้วยใบยางแห้งเสียงดังสวบสาบเมื่อถึงปากทางลงท่านซึ่งสูงชันก็ปล่อยตัวถลาร่อนลงอย่างรวดเร็วเด็กชายโห่ร้องขึ้นเสียงดังก่อนจะพากันเข้าแอบรมหลุมพอใหญ่เหนื่อยหอบเหมือนหมาวิ่งตามพระ

 “น้ำใสจัง” เด็กชายร่างเล็กพูดขึ้น

“ วันนี้เรามาถึงก่อนเพื่อนไอ้พวกนั้นยังไม่มา” อีกคนว่า

“ ใช่เราชนะมันวันนี้

“ เป็นไงแกนะ … เหนื่อยชีท่า” เด็กชายตัวโตหันไปพูดกับเด็กหญิง” อยากตามมาดีนักบอกว่าร้อนก็ไม่เชื่อ “เสียงของเขาขุ่นซึ้งเด็กหญิงเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งเอาตีนถทรายไปมาเป็นร่องลึกเธอไว้ผมทรงม้าตัดเรียบเป็นสี่เหลี่ยมมุมฉากครอบหน้าผากต่ำลงมาคือแนวคิ้วโก่งและขนตาเรียวงอนที่กะพริบถี่ดวงหน้าทั้งคู่กลมโตเป็นประกายมองดู แต่ไกลเหมือนตุ๊กตาตัวใหญ่ไม่สวมเสื้อผิวของเธอสีเดียวกับเด็กผู้ชายคนโตนั้น

“ เล่นน้ำกันดีกว่า” ใครคนหนึ่งว่า

“ วันนี้เล่นอะไรดีล่ะ

 “มีเสียงขอความเห็น

“ เล่นดำปักกันเอาไหม” คนโตพูด

 “เอาก็เอา”

แล้วเด็กชายทั้งหมดก็รีบถอดเสื้อผ้าผลัดกองไว้บนเนินทรายเหลือตัวล่อนจ้อนเด็กชายร่างเล็กออกวิ่งนำหน้าพุ่งโผนลงในน้ำดังตูมใหญ่เพื่อน ๆ กระโดดตามไปติด ๆ ” แกเล่นที่ตื้น ๆ นะอย่าตามลงมาอีกเดี๋ยวจมน้ำตาย “เด็กชายคนโตหันมากำชับแล้ววิ่งกระโดดน้ำตามพรรคพวกไปทิ้งเด็กหญิงไว้บนหาดทรายเพียงลำพัง

พวกเด็กผู้ชายว่ายน้ำไปรวมอยู่กลางคลองซึ่งมีความลึกแค่คอ แต่ตรงที่ลึกที่สุดของลำน้ำช่วงนี้คือวังวนเหนือหาดทรายใต้ต้นหลุมพอนั่นเองที่ตรงนั้นเป็นคุ้งกว้างจึงไหลวนอ้อยอิ่งเหนือผิวน้ำขึ้นไปประมาณสองวามีหลุมพอกิ่งใหญ่ยื่นต่ำออกมาแผ่คลุมมันอยู่กึ่งกลางของวังวนพอดีเด็กชายคนโตว่ายน้ำตัดคลองไปอีกทางหนึ่งแล้วขึ้นไปหักกิ่งไม้เล็ก ๆ รีบดำลงไปทันทีการเล่นดำปักจึงเริ่ม แต่บัดนั้นสายน้ำเขื่อยรินใสจนแทบนับเม็ดกรวดทรายได้เด็กหญิงเลื่อนตำแหน่งต่ำลงมาจนเท้าทั้งสองแช่อยู่ในน้ำมองดูเด็กชายเล่นดำปักกันอย่างหงอยเหงาเวลาพวกนั้นว่ายน้ำพร้อม ๆ กันผิวน้ำจะกระเพื่อมหนุนตัวเข้าซัดฝั่งเป็นระลอกพวกเขากำลังสนุกเต็มที่เมื่อใครคนหนึ่งดำลงไปปักกิ่งไม้ซ่อนไว้ที่ก้นคลองคนอื่น ๆ จะดำลงไปค้นหาและถ้าใครดพบแล้วถอนขึ้นมาได้ก็มีสิทธิ์ไล่ตีเพื่อน ๆ จากนั้นก็ดำลงไปปักซ่อนไว้อีกผุดดำผุดว่ายจนตาแดงขุ่นเป็นสีเลือดมีเสียงคึก ๆ ดังมาจากท่าลงน้ำเธอหันไปดูเห็นเด็กชายอีกสี่คนวิ่งพุ่งลงมาอย่างแรงตามด้วยเสียงร้องเบิกบานใจพวกที่มาใหม่รีบถอดเสื้อผ้าลุกลี้ลุกลนแล้ววิ่งไปสมทบกับพวกที่อยู่ในคลองเสียงดังตูมตามผืนน้ำแตกกระจายพุ่งละอองขึ้นเป็นฟองฝอยเพียงอึดใจลำคลองสายนั้นก็ส่สลอนไปด้วยเด็กชายตัวเปล่าเปลือยเด็กหญิงยังนั่งอยู่ที่เดิมคอยกวาดทรายเข้าหาตัวแล้วพูนตะล่อมขึ้นเป็นคันยาวต่อกันสี่ด้านในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

“ ฉันจะทำบ้าน .. ” เธอพูดกับตัวเองแววตาเป็นประกายเฟื่องฝันในขณะกวาดทรายเข้ามาเพิ่มทรายเปียกน้ำสะดวกต่อการตกแต่งไม่นานนักเธอก็ถูกล้อมด้วยคันทรายที่พูนขึ้นเป็นรูปตารางมองดูเหมือนนาแปลงเล็ก ๆ ที่มีแนวทรายเป็นขอบคัน

 “ตรงนี้ห้องนอน” เธอพูดขึ้นอีกแล้วพูนทรายขึ้นเป็นคันใหม่แบ่งตารางใหญ่ออกสองส่วน“ ตรงนี้เป็นห้องครัวนั่นห้องพ่อกับแม่

” เมื่อกำหนดว่าตรงไหนเป็นห้องเด็กหญิงจะพูนทรายให้เป็นคันสูงขึ้นสมมุติว่าคือฝากั้นเธอทำอย่างนี้เรื่อย ๆ จนได้ห้องเล็ก ๆ สามห้องเสร็จแล้วจึงค่อย ๆ ถอยออกมานั่งยอง ๆ จ้องมองสิ่งที่เพียรก่อสร้างอย่างจุใจมือและเท้าของเด็กหญิงเปรอะด้วยเม็ดทรายเปียกน้ำในซอกเล็บมีดินทรายเข้าไปอัดแน่นเป็นแนวดำเธอเอียงคอไปมาปั้นปากเครียดเหมือนนายช่างซึ่งกำลังจ้องมองอาคารในระหว่างการก่อสร้างตรงไหนที่เห็นว่ายังไม่ชอบใจเธอก็เข้าไปเสริมแต่งกระถดไปมาอยู่พักหนึ่งจึงหันไปทางกลุ่มเด็กผู้ชายอีกที

“ อยู่นี้ ๆ ไม้อยู่นี่ .. เรอเห็นเด็กชายคนหนึ่งซูกิ่งไม้ขึ้นเหนือหัวแล้วดำหายลงไปในน้ำเด็กหญิงกลับมามองบ้านดินทรายอีกครั้งแล้วยิ้มขึ้นอย่างตื่นเต้น“ ฉันจะปลูกต้นไม้ด้วย “เธอว่าพร้อมกับวิ่งออกไปยังแนวป่าชายหาดหักกิ่งไม้ติดมือมาสองสามกิ่งมีดอกเข็มป่าสีแดงอยู่ด้วยสาร” ตรงนี้ต้นมะม่วง” เธอพูดขึ้นเมื่อปักกิ่งไม้ลงบนพื้นยสามดอก

ทรายชิดแนวคันดิน“ ตรงนี้ต้นกระท้อน” เธอปักกิ่งไม้ลงไปอีกหนึ่ง

“ ตรงนี้ต้นอะไรดีนะอ้อ …. ปลูกต้นทุเรียนดีกว่า” ว่าแล้วเธอก็ปักลงไปอีกในมือเหลือเพียงดอกเข็มป่าสีสดใส“ ตรงนี้หน้าบ้าน” เธอว่าพร้อมกับกวาดทรายจนเรียบ“ หน้าบ้านจะต้องปลูกดอกไม้เงาะสีแดงนี้

“ดอกเข็มป่าที่มีกิ่งติดอยู่ด้วยถูกปักลงเป็นแถวในบริเวณนั้นตอนนี้บ้านบนพื้นทรายของเธอจึงมีพุ่มไม้เขียวแดงขึ้นเป็นหย่อม ๆ เด็กหญิงกระโดดเข้าไปนั่งในช่องสี่เหลี่ยมอีกทีพร้อมกับปรบมือเบา

” สวยจัง ๆ ” เธอพูดอย่างดีใจตะวันเที่ยงลอยคว้างตรงหัวเงาหลุมพอจึงหดสั้นเข้ามาทุกทีเด็กผู้ชายที่เล่นดำปักเริ่มแตกกลุ่มออกมาข้างนอกแต่ละคนมือเท้าซีดเซียวปากเขียวเหมือนยอดหวายลิงเด็กชายท่าทางซุกซนที่มากับกลุ่มหลังวิ่งขึ้นบนหาดผ่านบ้านดินทรายของเด็กหญิงอย่างหมิ่นเหม่เจ้าของบ้านตกใจร้องลั่น

“ อย่าเหยียบนี่บ้านฉัน “

” ไหนไหน .. บ้านอะไรนั่นมันทรายต่างหาก “เขาหยุดชะงักเข็มป่าติดมือไปอย่างรวดเร็วเด็กหญิงลุกพรวดออกจากช่องสี่เหลี่ยม

” อย่าเอาไป .. ดอกไม้ของฉันเอามานี่ ๆ

 “เด็กชายวิ่งวนไปรอบ ๆ บ้านดินทรายยื่นดอกไม้แกว่งไกวหลอกล่อแยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนลูกลิง

” อยู่นี่ ๆ มาเอาชี “เขาร้องท้าแล้ววิ่งข้ามแนวทรายไปมา

เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อเห็นบ้านดินทรายของเธอราบเรียบกับรอยตื่น

“ ไอ้บ้าแกล้งฉันทำไม” เธอแทบจะร้องไห้หันรีหันขวางด้วยความขุ่นเคือง

“ไล่ให้ทันซิ … ไล่ให้ทันจะให้มันสิบขวดให้หนวดสิบเส้น” เด็กชายยังร้องยั่วแล้ววิ่งลงน้ำฉีกดอกไม้สีแดงยับเยินก่อนจะขว้างที่ข้างทิ้งให้ลอยไปตามน้ำไหล

เด็กหญิงทรุดนั่งบนผืนทรายน้ำตาไหลซึมเธอมองดูบ้านดินทรายที่พังราบเพราะรอยเท้าด้วยความเสียดายดอกเข็มป่าที่เหลือจมทรายเสียเกือบมิดเธอค่อย ๆ ดึงขึ้นมาอย่างทะนุถนอมปัดทรายออกเบา ๆ

 “ทำใหม่อีกก็ได้” เธอบอกตัวเองแล้วเริ่มต้นคุ้ยทรายขึ้นมาใหม่ครั้งนี้เปลี่ยนจากที่เดิมมาเป็นริมน้ำเด็กหญิงคุ้ยทรายจากใต้น้ำขึ้นมากองท่วมขาขณะขมวดคิ้วครุ่นคิด

“ ทำเจดีย์ดีกว่า … ” เธอคิดได้แล้วและรีบตะล่อมทรายขึ้นเป็นทรงสูงใช้มือตบแต่งอย่างระมัดระวังเม็ดทรายเปียกน้ำเกาะตัวกันแน่นเด็กหญิงพยายามโปะแปะจนกลายเป็นรูปเจดีย์เล็ก ๆ มียอดเรียวแหลม

“เหมือนเจดีย์ในวัดเลย …. เหมือนจริง ๆ ” เธอชื่นชมกับผลงานชิ้นใหม่จากนั้นก็เริ่มก่อก่องทรายให้เป็นรูปทรงเดียวกันอีกกองหนึ่ง

เด็กชายกลุ่มนั้นวิ่งทะยานขึ้นจากน้ำดังฉ่าฉาวผิวน้ำกระเพื่อมม้วนตัวเป็นคลื่นใหญ่ทบทยอยเข้าหาฝั่งติด ๆ กันมันชัดเซาะกองทรายรูปเจดีย์ของเด็กหญิงจนเว้าแหว่งและหนุนเนื่องเข้าซ้ำเติมจนกองทรายน้อย ๆ ทลายราบ

“ ฟังอีกแล้ว “เด็กหญิงร้องลันมองตามเด็กผู้ชายที่มุ่งหน้าไปทางวังน้ำวนเด็กชายตัวโตที่ชอบดูเธอวิ่งนำหน้า  พาพวกไต่ขึ้นไปบนกิ่งหลุมพอเป็นพรวนปากก็ร้องเรียกดังลั่น

“ ใครแน่จริงขึ้นมาเลย … มาโดดน้ำกันดีกว่าพวกที่อยู่ข้างล่างวิ่งตามขึ้นไปอีกต่อแถวเป็นพรวนเหมือนฝูงลิงถึงหลุมพอโน้มต่ำเรียผิวน้ำเพราะความหนักมันแกว่งไหวไปมาจนน่ากลัว

“ นึงส่องสาม” เด็กชายตัวโตนับขึ้นพอสิ้นเสียงนับก็ทิ้งตัวลงในน้ำดังตูมผืนน้ำราบเรียบถูกแรงกระแทกแตกกระจายเป็นฟองพรายพร้อม ๆ กับที่กิ่งไม้สะบัดเหวี่ยงอย่างแรงกวาดพวกเด็ก ๆ ที่เหลือให้ร่วงตามลงมาขี่คอกันชุลมุนวังวนปั่นป่วนแทบจะเป็นตม

เด็กหญิงเลิกสนใจเด็กพวกนั้นอีกต่อไปเธอหันมาคุ้ยรายขึ้นมาใหม่แล้วลงมือก่อเป็นรูปเจดีย์อีกริ้วคลื่นที่โหมกระหน่ำมาไม่ยั้งหยุดทำให้เธอไม่อาจก่อขึ้นได้ง่าย ๆ กระนั้นเด็กหญิงก็ไม่สิ้นความพยายาม

 “ทำอะไรนะ” เสียงถามดังจากที่ใกล้พบเด็กชายร่างเล็กที่มาด้วยกันยืนจ้องด้วยความสงสัย

“ ทำไมไม่ไปเล่นกับพวกนั้น” เด็กหญิงถามแล้วก้มหน้าหญิงอย่างสนใจเขาทรุดนั่งมองดูเด็กทราย ๆ เธอเงยหน้าขึ้นก่อกองทรายต่อ

 “น้ำลึกไม่กล้าเล่น” เด็กชายตอ

“ แกจะทำอะไรเห็นทำอยู่นานแล้ว “เขาถามอีก

” ทำเจดีย์” เด็กหญิงพูดเธอกำลังแต่งยอดเจดีย์ทราย

คุณส่ง วันนี้ เวลา 14:04 น.

ให้เรียวแหลม แต่แล้วคลื่นใหญ่จากวังวนก็โถมเข้าเซาะจนแหว่งไปอีกด้าน

” พังหมดแล้ว “เด็กชายว่า

“ ไม่หมด” เด็กหญิงพูด“ มันยังอยู่”

“เดี๋ยวมันก็พังอีก” เด็กชายขยับเข้ามาอีกนิด

เด็กหญิงไม่พูดอะไร แต่ย้ายที่นั่งจากหาดทรายลงไปในน้ำเธอนั่งหันหน้าเข้าหาฝังกางขาออกคร่อมกองทรายไว้คราวนี้เธอก่อมันได้สะดวกขึ้นเพราะมีตัวเองเป็นเครื่องกำบังปีคลื่น

กลุ่มเด็กที่ปืนขึ้นบนกิ่งหลุมพอกระโดดน้ำถี่แรงเกมนี้พวกเขาสนุกกันสุดเหวี่ยงวังวนยิ่งกระฉอกไหวปั่นป่วนก่อคลื่นเข้าซัดฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่าเด็กหญิงยังไม่สิ้นความตั้งใจแม้ว่าเจดีย์ทรายของเธอต้องพังลงไปหลายครั้งหาก แต่เร่งมือหนักขึ้น

“พังอีกแล้ว … พังหมดเลย” เด็กชายพูดอีกเมื่อเจดีย์น้อยถูกคลื่นกวาดลงราบเรียบ

“ ไม่หมด” เด็กหญิงยืนยัน

“ อะไรกัน …. ทรายไปหมดแล้วยังไม่พัง” เด็กชายไม่เข้าใจ

“ ทรายยังไม่หมดมันยังอยู่” เด็กหญิง

“ บอกว่าหมดแล้วมันไหลไปหมดแล้วเห็นไหม “

” ไม่จริง “เด็กหญิงเถียงเธอคุ้ยทรายขึ้นมาอีก

“ ทรายยังอยู่เห็นไหมนี่” เธอกอบทรายให้ดู“ เขาบอกว่ามันมากับน้ำทรายมากับน้ำทุกวันมันไม่เคยหมดเราต้องก่อขึ้นใหม่” เธอพูดอย่างมั่นใจ

“ แล้วก็พังอีกก็พวกนั้นยังเล่นน้ำอยู่นี่เดี๋ยวคลื่นก็มาอีก”

คุณส่ง วันนี้ เวลา 14:04 น.

“เราก็ก่อขึ้นอีกถ้าเราก่อให้กองใหญ่แล้วสูงเท่าเจดีย์ที่ในวัดมันก็ไม่ฟังคลื่นมาก็ไม่ฟังถึงพังก็ไม่หมด” เด็กหญิงพูดนัยน์ตาเปล่งประกาย

“ ทำให้กองใหญ่” เด็กชายร่างเล็กทวนคำเขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น

“ เออจริงถ้าเราทำให้สูงเท่าเจดีย์ในวัดมันก็ไม่พัง” เขาพยักหน้าหมึก ๆ แล้วก้มลงขุดทรายบ้างมือของเขาใหญ่และแข็งแรงกว่าจึงคุ้ยทรายขึ้นได้ทีละมาก ๆ

“ เราทำให้มันสูงเท่าเจดีย์เลยนะ “

” อืมม์” เด็กหญิงพยักหน้า“ แล้วฉันจะเอาดอกไม้เงาะสีแดงไปเสียบที่ยอดของมันด้วย” น้ำเสียงของเธอตื่นเต้นแล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันทั้ง ๆ

 ลำน้ำยังไหลเรื่อยรินกลุ่มเด็กชายยังไม่เลิกเล่นกระโดดน้ำตะวันเที่ยงทรงกลดร้อนแรงอยู่บนฟ้าสาดแสงอาบท้องน้ำเป็นประกายเจิดจ้าและริมหาดทรายนั้นเด็กสอคนกำลังเร่งก่อกองทรายเป็นการใหญ่

ไฟล์เสียงเรื่อง ก่อกองทราย

https://drive.google.com/file/d/10GPA5lH585DowhWfQpnXalonPk-AQG4w/view?usp=sharing

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น