อรุณ นนทแก้ว

หลังจบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ ได้ทำงานเป็นครูอยู่ประมาณ ๔ ปี แล้วได้รับทุนโคลอมโบไปศึกษาต่อด้านบริหารการศึกษา ณ มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา เมื่อกลับมาได้เข้ารับราชการเป็นครูประจำในโรงเรียนทางจังหวัดภาคใต้ และเจริญก้าวหน้าจนเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่เป็นเวลายาวนานถึง ๓ โรงเรียนในจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ โรงเรียนสตรีปากพนัง โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช และโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ได้พัฒนาส่งเสริมความรู้ทั้งด้านวิชาการ เช่น โครงการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสังคมศึกษา และด้านอาชีพ ที่มีหลักการให้นักเรียนเรียนตามความถนัดและความสนใจโดยเรียนพื้นฐานอาชีพเพื่อสำรวจความถนัดของตนเอง ควบคู่ไปกับการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักเรียนจนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่โรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วไป วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลทำให้ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มผู้บริหารโรงเรียนให้ดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจราชการกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา ๓ ได้รับรางวัลผู้บริหารดีเด่น และได้รับการยกย่องเป็นผู้บริหารระดับมือทองของวงการศึกษาไทย แม้เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วยังได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช และโรงเรียนสาธิตเทศบาลวัดเพชรจริก

นอกจากงานด้านผู้บริหารการศึกษาแล้ว นางอรุณ นนทแก้ว ยังเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เป็นนิสิต ใช้นามปากกาว่า “อรุณมนัย” มีผลงานตีพิมพ์หลายเรื่องในหนังสือรายสัปดาห์ “สตรีสาร” และ “ศรีสัปดาห์” ต่อมางานเขียนหลายเรื่องได้รับการตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม ผลงานที่มีชื่อเสียง ได้แก่ “อุดมการณ์บนเส้นขนาน” ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ และ “ไฟหลงเชื้อ” ได้รับรางวัลประเภทนวนิยายดีเด่นประจำปี ๒๕๒๐ ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๐

ด้วยความรู้ความสามารถทางด้านอักษรศาสตร์ มีผลงานต่างๆ เป็นที่ประจักษ์ชัด สมาคมนิสิตเก่าอักษรศาสตร์ จุฬาฯ จึงขอประกาศยกย่อง นางอรุณ นนทแก้ว เป็นนิสิตเก่าอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ดีเด่น ประจำปี ๒๕๖๒

อุดมการบนเส้นขนาน เป็นนวนิยายสะท้อนภาพสังคมไทยผ่านมุมมองแบบชาวตะวันตก ที่เห็นความผิดปกติและปัญหาต่างๆ ได้รับคัดเลือกเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เขียนโดย อรุณมนัย

ผลงานนักเขียน

อุดมการบนเส้นขนาน

เนื้อหาในหนังสือ
https://drive.google.com/file/d/1nUaVcXV91nmM64gUGt-SP0JvQdLDiliJ/view?usp=sharing

"อุดมการณ์บนเส้นขนาน"
 แอนน์พูดเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่ท่านหัวเราะเสียงใสราวกับได้ฟังสิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้เลยจะไม่เป็นไปได้เลยในชั่วชีวิตของท่านและในอนาคตด้วยแถมยังแนะนำเชิงประชุดกับแอนน์อีกว่า
“ คุณแอนน์ลองเสนออธิบดีหรือรัฐมนตรีดูซิคะเวลามีประชุมหรือสัมมนา
แอนน์ไม่ชอบเลยในความคิดของอาจารย์ใหญ่หรือใคร ๆ ก็ตามที่ธรรมเนียมต่างๆนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้มันอาจจะไม่เปลี่ยนใหม่หมดทุกด้านในทันที แต่น่าจะแปรไปทีละน้อย ๆ ไม่เป็นสิ่งที่น่ายินดีหรือถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
เวลาเปลี่ยนไป ความเป็นอยู่ต่างๆของผู้คนเปลี่ยนไปสังคมเปลี่ยนไปมนุษย์จะยึดอยู่กับความหลังหรือธรรมเนียมเก่า ๆ เท่านั้นล่ะหรือ
อาจารย์ใหญ่มีสีหน้ายิ้มเป็นนัยซึ่งแอนน์คิดว่าดูแคลน” และแอนน์รู้ได้ว่าความคิดเห็นของแอนน์นั้นใช้ผิดที่อีกเช่นเคยนอกจากอาจารย์จะไม่เห็นด้วยกับความคิดของแอนน์แล้วแม้แต่รับฟังอาจารย์ใหญ่ก็แทบจะไม่สนใจเลย
แอนน์เพิ่งประจักษ์กับตนเองวันนี้ที่ครูน้อยพากันสรรเสริญอาจารย์ว่าเป็นผู้เอาแต่ใจตัวนักหนา 
“ นี่คุณแอนน์หมวดสุระเขายังมาหาบ่อยๆหรือ” อาจารย์ใหญ่เปลี่ยนเรื่องโดยเร็วและเรียกคุณสุระว่าผู้หมวดหรือหมวดที่ให้ง่ายและสะดวกปาก
"เขามาตามวันเรียนค่ะ” แอนน์ชี้แจง“ วันอังคารพฤหัสและเสาร์เขารู้จักกับสามีอาจารย์ด้วย” แอนน์ใช้ภาษาอังกฤษว่า“ สามีคุณ” ทุกครั้งและทุกครั้งอาจารย์ใหญ่ก็จะโกรธเสมอทำไมแอนน์ไม่เรียกตรงๆว่าคุณพิชาก็ไม่รู้
คุณอรเพ็ญไม่ได้บอกแอนน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งอาจารย์ใหญ่ขุ่นมัวอยู่แอนน์ก็คงไม่รู้อยู่นั่นเอง
“ หมวดสุระเขาเป็นไงบ้างล่ะคุณแอนน์” อาจารย์ถามยิ้ม ๆ หัวเราะเป็นนัย" ก็มาบ่อยดีนี่นะ”
 แอน์เกลียดท่านี้ของอาจารย์มาก 
"ดีค่ะ” แอนน์แสร้งก้มดูนาฬิกา
“ ท่าทางเขาชอบคุณแอนน์นะ” อาจารย์ใหญ่พูดยิ้ม ๆ อีกเช่นเคย
" ไม่ทราบคะ” แอนน์ตอบพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย“ คุณแอนน์เคยไปที่บ้านเขามั้ยคะ” อาจารย์ถามยิ้ม ๆ อีก
“ เคยไปค่ะ”
“ ที่บ้านเขามีใครบ้างคะ” อาจารย์คงไม่รู้ตัวเลยว่าคำถามเรื่องส่วนตัวเหล่านี้เป็นคำถามที่แอนน์เกลียดที่สุด
“ ไม่ทราบค่ะ” แอนน์ตอบสั้น ๆ และสีหน้าโกรธอย่างไม่ปิดบัง
“ คุณแอนน์ไม่พบใครเลยหรือ” อาจารย์เสียงเบาลง แต่สีหน้ายังมีแววสนุก
“ ไม่ค่ะเพื่อน ๆ เท่านั้น”
“ เด็กเล็ก ๆ ” อาจารย์หัวเราะและยิ้มเป็นนัย
แอนน์ยิ้มเฉยเสีย
หมวดธำรงเป็นไงบ้าง” อาจารย์ใหญ่ไม่สนใจกับสีหน้าโกรธ ๆ ของแอนน์เลยรู้สึกพอใจด้วยซ้ำที่เห็นแอนน์โกรธ
”เรียบร้อยมาก” แอนน์ยิ้มในหน้าบ้าง
“ มาบ่อยมั้ย” 
ที่มาพร้อม ๆ กับคุณสุระ”
“ เขาจะไปต่างประเทศเมื่อไรทราบมั้ยคะ" อาจารย์ถามยิ้ม ๆ 
“ ไม่ทราบค่ะ”
“ ทำไมไม่ทราบเขาไม่ได้บอกหรอกหรือ”
 "ไม่ค่ะไม่ได้ถามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาคงไม่ดีถ้าไปถามเขา” แอนน์ได้ที่และยิ้มในหน้าไว้เรื่อย
“ ฉันก็เสียสมบัติผู้ดีนะแอนน์ถามอะไรก็ไม่รู้ซอกแซก” อาจารย์อ่อนไหวในคำพูดของแอนน์ทันที
แอนน์ยิ้มไม่ตอบในดวงตาสีฟ้าแกมเขียวของแอนน์คงไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้นแม่เคยเอ็ดแอนน์เสมอในเรื่องความรู้สึกที่ไม่ปิดบังบางวันแอนน์ก็โทษตัวเอง แต่วันนี้แอนน์ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นจริงๆ
"แรมสมรเขาจะไปเมื่อไรแอนน์ทราบมั้ย” อาจารย์ถามอีก
“ ไม่ทราบค่ะ” แอนน์ไม่ยิ้มแล้วแอนน์ไม่ชอบการทำร้ายกันลับหลังถ้าไม่พอใจหรือพอใจก็ขอแสดงต่อหน้าเถอะ
“ เขาจะไปเมืองนอกอีกหรือไปมหาวิทยาลัยทราบมั้ย” อาจารย์ถามเรื่อยไป
“ อาจารย์ถามเขาเองซิคะ” แอนน์ย้อน แต่หน้าตาซื่อเป็นที่สุด
“ ไปๆเสียเร็ว ๆ ก็ดีจะได้รับคนใหม่เข้ามา” อาจารย์ว่าอย่างนั้นแน่นอนถ้าคุณแรมสมรรู้จะน้อยใจสักเพียงใดหนอและแอนน์ก็เห็นว่าคุณแรมสมรทำงานดีออกอย่างนั้น“ นี่จะไปก็ไม่ไปอยู่ก็ ... ”
“ อาจารย์แรมสมรสอนดีมากทำงานดีมากบุคลิกดีมาก” แอนน์ชมอย่างจริงใจ“ นักเรียนชอบมาก”
 อาจารย์ใหญ่มีสีหน้าคล้ายกับว่าแรมสมรหรือก็งั้น ๆ แหละ แต่ก็ไม่คัดค้านถ้อยคำของแอนน์
“ โรงเรียนต้องเสียคนดีๆไปน่าเสียดาย” แอนน์ชมต่อไปอีก
“ เขาไปก็มีคนอื่นมาอีกคนดีไม่มีแค่นี้หรอกแอนน์ยังมีมาอีกเรื่อย ๆ แน่ ๆ ” อาจารย์ออกความเห็นอย่างฉับไวภาษาไทยเรามีคำว่า“ กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี "แล้วอาจารย์ก็เล่าประวัติศาสตร์ไทยตอนหนึ่งให้แอนน์ฟังประกอบสำนวนนั้น
“ จริงค่ะ” แอนน์รีบยืนยัน“ แต่คนที่อยู่อยู่แล้วน่าเสียดายถ้าเขาจะต้องไปเสียโดยที่เขาเองก็ยังไม่อยากไป” แอนน์ก็ทำร้ายคนอื่นเป็นเหมือนกัน
“ ใครบอกคุณแอนน์ว่าเขาไม่อยากไป" อาจารย์ใหญ่ทำสีหน้าเยาะ ๆ ราวกับว่าแอนนี้ไม่รู้อะไรเสียเลยหรือไม่ก็อาจารย์รู้อะไรมากกว่านี้มากมาย
“ ถ้าเขาสอนในมหาวิทยาลัยก็จะสอนได้สบาย ๆ เขาเก่งมาก” แอนน์ชมอีก
“ ในมหาวิทยาลัยมีคนเก่งเยอะไปเก่ง ๆ กว่านี้เสียอีก” อาจารย์ลดอายุลงมาเถียงกับแอนน์
แอนน์ก็รู้สึกสนุกที่ทำให้คนโกรธได้แอนนี้ขอเป็นคนเลวของแม่สักวันเถอะ
“ แต่คุณแรมสมรมีประสบการณ์มากหลายด้านจะช่วยในการสอนได้มาก” แอนน์แย้ง“ ในมหาวิทยาลัยมีคนเก่งมาก ๆ แต่บางคนก็ไม่เก่งเลย
“ คุณแอนน์รู้หรือ” อาจารย์ทำสีหน้าไม่เชื่อ
“เพื่อนบอกคะมีเพื่อนสอนที่นั่นค่ะและสอนมหาวิทยาลัยที่นี้ไม่ยากค่ะเพราะนักเรียนไม่ค่อยถามและนักเรียนมีวัยเดียวประสบการณ์น้อยคำถามของเขาจึงไม่แปลกไปกว่ากันเท่าใดและไม่ต่างจากปีก่อน ๆ เท่าใดนัก”
“ หมายความว่านักศึกษาเมืองไทยไม่ฉลาดเท่านักศึกษาในโลกตะวันตกไม่เซอใช่มั้ย” อาจารย์ถามอย่างฉลาด
“ ไม่ใช่อย่างนั้นคะนักศึกษาที่นี่บางคนเก่งมาก แต่นักศึกษาต่างประเทศมีทั้งสาวหนุ่มและแก่บางคนทำงานตำแหน่งใหญ่โตและผ่านงานมามากพวกนี้จะมีความชำนาญและเมื่อกลับเข้ามาเรียนเขาเรียนในวิชาที่เขาถนัดหรือวิชาที่เขาปฏิบัติงานอยู่จึงมักจะมีปัญหาหรือคำถามแปลก ๆ มาซักถามอาจารย์ติดก็เสียผู้เสียคนไปเลยติดหลาย ๆ ครั้งมหาวิทยาลัยก็เลิกจ้างให้สอน”
“ หมายความว่าอาจารย์เมืองนอกก็ต้องเก่งกว่าอาจารย์เมืองไทยใช่มั้ย” อาจารย์รีบสรุปให้แอนน์เสียกำลังใจ
แม้ว่าแอนน์จะพยายามอธิบายอีกสองสามประโยคอาจารย์ใหญ่ก็ไม่รับฟังอยู่นั่นเองขึ้นชื่อว่าครูแล้วมักจะมีความมั่นใจในตัวเองมากกว่าคนปกติเสมอและยากที่จะเปลี่ยนความคิดนี้ได้เสียด้วย
ผู้ที่มั่นใจตัวเองมากเกินไปบางครั้งจึงกลายเป็นผู้มองดูสิ่งใดด้วยนัยน์ตาเพียงข้างเดียวและโอกาสผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
อาจารย์ใหญ่พูดอีกสองสามประโยคจะให้แอนน์ยอมรับอยู่นั่นเองว่าแอนน์ไม่เข้าใจคนไทยดูแคลนคนไทย แต่แอนน์ก็เถียงอยู่นั่นเอง
แอนน์ใช้ภาษาอังกฤษบ้างไทยบ้างอาจารย์ใหญ่ก็เช่นเดียวกัน
จนในที่สุดแอนน์เกิดโทสะขึ้นมาเล็กน้อยกล่าวว่า
“ จริงค่ะคนไทคนไทยต้องไปเรียนต่างประเทศคนตะวันตกเก่งกว่า”
 สังเกตดูอาจารย์ใหญ่ก็ไม่พอใจคำตอบของแอนน์เท่าใดนัก แต่หลังจากวันนั้นแล้วแอนน์ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับอาจารย์อีกเลย
อากาศปลายเดือนตุลาคมเริ่มหนาวภาคนี้หนาวลมลมพัดจัดและแรงอากาศตอนกลางคืนและเช้า ๆ หนาวจัดอย่างประหลาด แต่พอบ่าย ๆ ร้อนแรงและอบอ้าวลมหยุดพัดดังตายจากเสื้อกันหนาวของแต่ละคนที่สวมใส่ในตอนเช้าต้องรีบถอดทันทีเมื่อเวลาเที่ยงวันผ่านพ้นไป
คุณสิทธิศักดิ์หรือครูชายคนเดียวในห้องพักครูภาษาอังกฤษใช้ว่า“ ร้อนตับแตก” และอากาศจะร้อนเช่นนี้ไปจนห้าโมงเย็นร้อนจนแอนน์เห็นด้วยกับคำของคุณสิทธิศักดิ์
ครูสตรีและนักเรียนหญิงสวมเสื้อกันหนาวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่นักเรียนชายนั้นน้อยคนจะยอมสวมเสื้อกันหนาวบางครั้งแกหนาวจนตัวสั่นไปหมดสีหน้าเรียวขนลุกชันปากซีดและห้องเรียนทุกห้องปิด
หน้าต่างหมดด้วยลมหนาวที่พัดกรูเกรียวเข้ามานั้นหนาวเย็นทารุณนัก
แอนน์มีเสื้อกันหนาวมาด้วยสองตัว แต่สีไม่สดสวยดังสีเสื้อที่แอนน์เห็นในห้องเรียนเลยสีแดงม่วงฟ้าชมพูส้มดูแจ่มใสดังดอกไม้น้อย ๆ กลิ่นหอมหวานนานาพรรณมาชุมนุมกัน ณ
 “ ปีนี้หนาวเร็วนะ” พี่ประนอมหัวหน้าสายภาษาอังกฤษคนท้วมๆที่น่ารักของแอนน์ว่า
“ คงคิดถึงคุณแอนน์ฤดูหนาวตามมาเยี่ยมถึงที่นี่คุณสิทธิศักดิ์ล้อแอนน์
“ ใช่ค่ะ” แอนน์สนุกกับเขาด้วยไม่รู้สึกเป็นคนแปลกหน้าแล้วกับผู้คนในห้องพักนี้คนนั้นพี่คนนี้น้อง
ในขณะที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยอากาศร้อนแรงและหนาวจัดในวันเดียวกันนั้นแอนน์ได้รับจดหมายจากเพื่อนในกรุงเทพฯเล่าว่า
“ ที่นี่อากาศเย็นลงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่สบายดีสำหรับพวกเราไม่รู้สึกว่าร้อนแรงจนเกินไปฉันใช้เสื้อกันหนาวบ้างเหมือนกันในตอนเช้า ๆ นอกจากนั้นแล้วสบายดีไม่มีหิมะไม่มีฝนอากาศสดชื่นดีเหลือเกินใคร ๆ (คนไทยด้วย) บอกฉันว่าคนภาคกลางมักจะโชคดีเสมออากาศดีตลอดทั้งปีร้อนก็ไม่ร้อนจัดหนาวก็ไม่หนาวหมายความว่าเฉลี่ยโดยทั่วไปนะเดือนอื่น ๆ ฉันจะคอยดู ... 
"ซู จากภาคใต้นั้นเล่ามาว่า
" ทางนี้ฝนยังตกอยู่ทุกวันตกปรอยๆตกหนักตกนานและตกได้
ทุกเวลาเช้าสายบ่ายเย็นกลางคืนแม้แดดจะจ้าแจ่มใสในตอนเช้า แต่บ่าย ๆ ตกอีกแล้วเอาแน่ไม่ได้บางทียังไม่ทันมืดเลยฝนก็ตกเสียแล้วฉันเลยต้องถือร่มไปไหนมาไหนตอลดเวลา”
“ ถ้าเดือนใดฝนไม่ตกซิประหลาดเลยและฉันก็เป็นคนบ้าหอบพะรุงพะรังอยู่คนเดียวคนอื่นน้อยคนที่จะเอาร่มไปไหนมาไหนด้วยและบางวันแดดก็ร้อนแรงเสียจนฉันได้ใช้ของฉันเหมือนกันทั้งแว่นกันแดดและร่มละอากาศหนาวหรือไม่มีเลยทั้งๆที่ฉันคิดถึงอยู่เหมือนกัน”
“ นักเรียนของฉันยังไม่ถึงกับพูดคำว่าหมวกถุงเสื้อฝนเล่นว่าวในชั้นเป็นไม่ได้ตอกฉันไม่ได้หมายความว่านักเรียนทางภาคนี้จะเรียบร้อยกว่านักเรียนของแอนน์นะ แต่สิ่งแวดล้อมช่วยเขามากสภาพบ้านเมืองที่ยังเงียบเชียบมีการหาความสำราญกลางคืนที่เป็นไปอย่างปกติไม่ประเจิดประเจ้อและไม่มากมายหลายแห่งจนเกินไป
” บางครั้งก็เงียบเสียจนฉันอยากเดินร้องฮูเร ๆ ไปตามถนนหนทางสายต่างๆเพื่อให้มันอีกทึกเล่นอย่างนั้นแหละ
สภาพบ้านเมืองหรือก็มีเศษกระดาษเกลื่อนบ้างเหมือนกันก็เขาไม่มีกฎหมายที่ให้ทุกคนคุ้มครองรักษาหน้าบ้านของเขาให้สะอาดปลอดภัยนี้ที่นี่ฉันเห็นเขากวาด ๆ ขยะให้พ้นจากลานหน้าบ้านเขาเท่านั้น แต่จะไปรกรุงรังบ้านใครหรือลงไปกองอยู่ที่สาธารณะทุกคนก็ไม่รับรู้มันมีอะไรขัด ๆ กันอยู่เหมือนกันระหว่างผลประโยชน์ของส่วนรวมกับส่วนตัว
ครูบางคนเดินในโรงเรียนเขายังถ่มน้ำลายลงที่พื้นถนนเลยและทำอย่างหน้าตาเฉยจนฉันแปลกใจบางทีเขาก็นั่งจิ้มฟันไปมาในขณะรับแขกของโรงเรียน
ซูเป็นโรคเอาจริงเอาจังอยู่เสมอซูเคยประกาศว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็ไม่ได้แปลกหรือพิสดารกว่าคนตะวันตกคนใดเลย
แนน จากภาคเหนือนั้นต้องการการเปลี่ยนแปลงพิธีการวันที่ ๒๓ ตุลาคมเช่นเดียวกับแอนน์แนนอายุน้อยกว่าเพื่อน ๆ ในกลุ่มและดูเรื่องความกลุ่มของแนนจะมีมากกว่าคนอื่น 
"เราอาจไม่เข้าใจเขาเพียงพอก็ได้การที่เขาใช้เวลานานกับการแกะสลักผักผลไม้เพียงเพื่อจะกินเข้าไปวัน ๆ การทำมาลัยดอกไม้สดสวย ๆ งาม ๆ ด้วยเวลาสองสามชั่วโมงเพื่อเพื่อน ๆ ผู้จากไปของเขาฉันไม่เข้าใจจริงๆดอกไม้สักดอกหนึ่งหรือช่อหนึ่งน่าจะมีค่าพอกันฉันเป็นโรคเสียดายเวลาก็เป็นได้
เขาพูดกันไพเราะซ้า ๆ เดินเนิบๆใบหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลาซึ่งไม่ชอบเลยฉันเดินเป็นนางม้าอยู่คนเดียวในขณะที่เขาวางตัวราวกับสุภาพสตรีสูงศักดิ์ฉันอาจเป็นโรคเสียดายเวลาอีกว่าเวลาที่เขาพูดหรือเดินนั้นถ้าเขาทำให้เร็วขึ้นเขาจะมีเวลาเหลือเพื่อที่จะพิมพ์ดีดสักหน้าสองหน้าหรืออ่านหนังสือได้สักเล่มสองเล่ม
เพื่อนร่วมบ้านของฉันมักจะบอกฉันว่าไม่มีเวลาไม่ว่างที่จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอจนฉันจะเป็นโรคขี้รำคาญตายอยู่แล้วในเวลาเดียวกันเขามีเวลาเขียนหน้าเขียนตาและออกไปเที่ยวซึ่งฉันไม่เข้าใจเลย
แอนน์อ่านแล้วต้องหัวเราะแนนเป็นโรคขี้รำคาญจริงๆก็ได้
“ เรื่องนักเรียนเป็นโรคหรือก็คงพอ ๆ กับจังหวัดของแอนน์กระมังการ
แนะนำเรื่องการป้องกันโรคทางเพศในโรงเรียนยังไม่มีซึ่งความจริงไม่น่าจะเป็นเรื่องน่าละอายเลยยอมรับเสียก็หมดปัญหาที่ใด ๆ ก็มีปัญหาอย่างนี้ไปปกปิดทำไมก็ไม่รู้วันหนึ่งในขณะนั่งสอนอยู่นักเรียนโค่งคนหนึ่งทำเปียกออกมาเลอะเทอะเลยครูชายต้องรีบเข้าไปคุมแทนครูผู้หญิงคนนั้นซึ่งแกไม่รู้เรื่องอะไรเลยยังคิดว่านักเรียนเป็นผีอยู่นั้นเอง
” หนังสือหรือสมุดภาพที่เกี่ยวกับเรื่องเพศหรือก็มักพบเสมอพอ ๆ กับโรงเรียนของแอนน์กระมังผู้ใหญ่แหละที่นำไปขายเด็กเขารู้ต้นตอแล้วด้วยภาพที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้ดูกระมังฉันเห็นแวบๆรูปหนึ่งแล้วไม่กล้าดูอีกเลยความจริงมันก็เรื่องธรรมดานะแอนน์ที่ใด ๆ ก็อย่างนี้แหละ แต่รู้สึกที่นี่แรก ๆ ทุกคนตกใจกันมากทางฝ่ายผู้ปกครองนั้นช่างไม่รู้เลยจริงๆฉันยังจำได้มีหลายคนที่พอเขาเห็นรูปนั้นแล้วเขาแทบไม่เชื่อว่าลูกเขาจะรู้เรื่องและทำเรื่องขึ้นมากมายขนาดนั้นเขายังเห็นลูกเป็นเด็กอยู่เสมอ
น่าขันที่เด็กบอกว่าอยากลองเพราะเห็นผู้ใหญ่เขาเที่ยวกันและพูดให้ได้ยินว่าสนุกอย่างนั้นอย่างนี้และรูปจากหนังสือพิมพ์ก็ชวนให้อยากพิสูจน์แม้แต่หนังสือพิมพ์รายวันยังตีพิมพ์รูปหวาบหวามใจแกว่าอย่างนั้นนะ
“ แอนน์คิดว่าจะเริ่มต้นแก้ปัญหาจุดใดดีพูดอย่างกับว่าเราจะช่วยได้อย่างนั้นแหละเขาจะฟังความคิดเห็นของเราหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย” แอนน์รับจดหมายจากร้าฟและฟิลซึ่งมีความเห็นยิ่งรุนแรงไปกว่าความคิดของแนนและซูแอนน์คิดว่าถ้าใครได้อ่านจดหมายทั้งสองฉบับนั้นแล้วคงอยากฆ่าร้าฟและฟิลอย่างแน่นอน แต่แอนน์อ่านได้โดยไม่ระคายใจเลยแม้แต่น้อยเพราะความคิดเห็นเช่นนี้บ้านเมืองของแอนน์เป็นเรื่องธรรมดาเสมอผู้รับฟังความคิดเห็นมีอยู่โดยทั่วไปตามมุมถนนแทบทุกสายงานบริการสาธารณะแทบทุกแห่งทุก บริษัท มีบัตรให้ผู้ใช้บริการกรอกข้อความบันรำคาญและเสนอแนะแม้แต่หอพักเล็ก ๆ ร้านอาหารโบสถ์ร้านค้าก็มีแผนกนี้โดยถือเป็นเรื่องธรรมดา ๆ แต่แอนน์รู้ว่าแต่ละหน่วยงานนั้นได้“ อะไร” มากมายจากการ“ บ่น” นั้น
                                                                                                                                                       
เสียงบรรยาย
https://drive.google.com/file/d/1K0a8d-b9vwGfGlLZQMehERLJZvD6Txr7/view?usp=sharing

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น