วินัย บุญช่วย

วินัย บุญช่วย นามปากกา ศิลา โคมฉาย วันเกิดวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ที่อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช การศึกษาจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จาก โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ก่อนจะมาเรียนต่อที่เรียนระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นช่วงเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ด้วยความเป็นหนอนหนังสือ ประกอบกับมีโอกาสได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงของนักอ่านนักเขียน ทำให้เขาเริ่มมีงานเขียนตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมด้วยเรื่องสั้น ก่อนจะมีผลงานทั้ง นวนิยาย ความเรียง สารคดี รายงาน และบทความ

เริ่มต้นเขียนหนังสือโดยใช้ชื่อสกุลจริง “วินัย บุญช่วย” แต่พอหลัง 6 ตุลา กลับมาจากป่า ก็เขียนเรื่องสั้นมาจำนวนหนึ่ง 6-7 เรื่อง เอาไปทิ้งไว้ที่มติชน เอาไปฝากเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการเครือมติชนในขณะนั้น แล้วเรื่องสั้นก็ได้ลงหนังสือ “เฟื่องนคร” ขณะนั้นไม่มีนามปากกา บรรณาธิการเสถียรก็ใส่ชื่อ “ศิลา โคมฉาย”

ศิลา โคมฉาย เคยอยู่ในวงการสื่อมวลชน ทำให้เขาเขียนหนังสือได้หลากหลาย ตั้งแต่งานวิจารณ์กีฬา วิจารณ์เพลง วิจารณ์หนัง ซึ่งก็จะใช้นามปากกาอื่น ๆ ไปตามสาระของคอลัมน์

ผลงานนักเขียน

“พันธะแห่งเสรีภําพ” (พันธะ)

เนื้อหาในหนังสือ 
https://drive.google.com/file/d/1H20VR2StPbDj1IHX55xpj5WInyuADi7s/view?usp=sharing

"พันธะแห่งเสรีภาพ" (พันธะ) 
ยามบ่ายเคลื่อนคล้อยมาถึงราชประสงค์เงียบหงอยรถยนต์จอดตายหัวเสียบเอียง ๆ เข้าหาบาทวิถีเป็นแนวยาวมีระเบียบบางคันสีเอี่ยมอ่องบางคันเก่าคร่ำเต็มที่ท้ายรถถูกแดดเผาสะท้อนประกายวาววามฟากโน้นมีคาเฟด้านหน้าเป็นกระจกใส แต่ไฟภายในหรี่สลัวทำให้ดูมืดทึบ
ลังน้ำอัดลมขวดว่างเปล่าวางซ้อน ๆ รอการมาเก็บคืนอยู่ใกล้ ๆ ประตูช่วโมงเอ็กซ์ปอร์ตติดกันด้านหน้าปิดกระจกใสมองผ่านเข้าไปเห็นพนักงานเหลือเครื่องปรับอากาศติดอยู่ใต้เพดานเหนือประตูกระจกทางเข้าออกส่งเสียงครางเบา ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอพ่นไอเย็น ๆ บรรยากาศเย็นชื่นชวนนอนวรณรรมยุคปัจจุบันเรื่องสั้นที่ผ่านมาดูเหมือนไม่มีคนผ่านเข้าออกเลยในชุดเขียวตองกระโปรงผ่าขึ้นไปเกือบถึงโคนขา บริษัท อิมปอร์ตและแม้แต่พวกพนักงานเสิร์ฟวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับโทรศัพท์ต้นไม้บนบาทวิถีชำรุดซีเมนต์ร้าวแยกส่วนบนตายซากโกนเกนกิ่งก้านสีดำอัดม้วนอยู่ใต้กันสาดใกล้ ๆ โตนยังพอมีใบเขียวสดหรือมแหร็ม .. นานกว่าจะมีรถผ่านไปผ่านมาสักคันร้านค้าซบเซาราวกับผู้คนได้หายสาบสูญจากกรุงเทพฯแล้ว
ย่านนี้ไม่ใช่ย่านการค้าตึกตระหง่านสองฟากถนนส่วนใหญ่เป็นสำนักงานดังนั้นร้านค้าที่อุตริเปิดขึ้นในบริเวณนี้จึงเงียบหงอยอย่างน่าเศร้า
วิธูนั่งเอนหลังกับพนักเก้าอี้ที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ยึดขาตามสบายเอามือปิดปากหาวยาว ๆ น้ำตาเล็ดทางหางตาเบื่อหน่ายเต็มที่พนักงานขายหญิงสาวสี่คนแบกกันนั่งสัปหงกว้าง ๆ กระบะใส่เสื้อผ้าจำพวกเสื้อกางเกงในสเตย์ชุดนอนชุดว่ายน้ำเสื้อยืดเสื้อเชิ้ตยี่ห้อมีชื่อของยุโรปจากช่วงนี้จนถึงเย็นลูกค้าแทบไม่มีเอาเสียเลยกว่างานทั่วๆไปจะเลิกอีกสองสามชั่วโมงตอนนั้นพอจะมีลูกค้าขาประจำประเภทมีเงินเหลือกินเหลือใช้แวะเวียนยมาหาชุดชั้นในราคาห้าหกร้อยบาทเอาไปใช้หรือเข้ามาสอบถามและเลือการชมสินค้ารุ่นใหม่
ระหว่างกระบะมีโครงเหล็กแขวนเสื้อเชิ้ตราคาแพงเนคไทร่มชุดเด็ก
ดูเหมือนจะยืนอย่างหยิ่งทะนงหน้าร้านมุมหนึ่งตกแต่งโชว์เครื่องสำอางกับกล่องของขวัญบนยกพื้นใกล้ ๆ กันมีหุ่นหญิง ๒-๓ ตัวในชุดต่างๆยืนแอ่นอวดทรวดทรงยกมือยกไม้ท้าทายสายตา
เขาอยากจะออกคำสั่งปลุกพนักงานให้ตื่นขึ้นนั่งคอยลูกค้าด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงเพราะการนั่งหลับในร้านเป็นความผิดตามระเบียบของ บริษัท แต่ภาวะการขายหยุดนิ่งเช่นนี้คร้านต่อปากต่อคำกับใครโดยนิสัยแล้วเขาเป็นคนใจอ่อนขี้เกรงใจและไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนจนดูเหมือนสองเดือนกว่า ๆ ที่เขามารับตำแหน่งผู้จัดการร้านทั้งแคชเชียร์พนักงานทำความสะอาดพอใจหัวหน้าอยู่ครามครัน
เขาบิดขี้เกียจสองสามครั้งตั้งใจว่าจะกลับขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้นสองซึ่งอยู่ร่วมกับ บริษัท ส่งออกในเครือเดียวกันหาหนังสือพิมพ์มาอ่านข่าวสู้รบในศึกแย่งชิงเกาะที่คนตายเป็นเบือเรือรบเครื่องบินพินาศไปแล้วหลายลำเพราะแอบเอาใจช่วยประเทศอ่อนด้อยกว่าอยู่ในความรู้สึกลึก ๆ หรือโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสักคน แต่นึกถึงปัญหาที่แคชเชียร์รายงานเรื่องสินค้าบางชิ้นสูญหายคงเกิดจากพนักงานขายลืมตัดยอดสินค้าออกไปจากใบเช็กสต็อคทำให้เขาต้องเปิดลิ้นชักค้นหาบิลและใบเช็กสต็อคเก่าสองสามเดือนก่อนออกมาตรวจสอบ
เสียงบานประตูถูกผลักเข้ามาเบา ๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ก้าวเข้ามาเป็นเด็กนัยน์ตาชื่อนุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีเสื้อยืดสีเหลืองมีเทวดาสององค์นั่งพนมมือเข้าหากันอยู่กลางอกแกลากรองเท้าแตะช้าๆไม่มีอาการสะทกสะท้านให้เห็นเขาเห่งสายตาฉงนประสานกับดวงตาชื่อนั้น
“ พี่ครับผมมาขอความกรุณา” 
แกยกมือไว้เปล่งเสียงออกมาชัดถ้อยชัดคำไม่ประหม่าเลยเขามองจับไปทุกอิริยาบถไม่คลาดสายตาคะเนอายุคงไม่เกินสิบขวบ 
"ผมขอค่ารถกลับบ้าน” แกพูดต่อด้วยน้ำเสียงและช่วงจังหวะเดิมเขาจับตานิ่งและยังคงไม่ปริปาก
“ ผมไม่ใช่พวกหลอกต้มหากินหรอกครับพี่เชื่อเถอะ” ดูเหมือนแกจะเริ่มอึดอัดกับแววตาและท่าทางเช่นนี้ของเขา
“ มาจากไหนล่ะ” เขาถามยิ้ม ๆ เป็นการหยั่งเชิงไม่นึกเชื่อเลยสักนิด
“ ทับสะแก
“ มากับใคร”
“ มากับยายมาหาพ่อ แต่หาไม่เจอ” แกตอบคล่องแคล่วไปทุกกระบวน
“ มาจากประจวบทับสะแก แต่พูดเก่งเหลือเกินนะ” เขาเยาะ
“ ผมกับยายยังไม่ได้กินข้าวเลยวันนี้” แกไม่สนใจยังเรียกร้องขอความกรุณาเหมือนเดิม
“ แหม ... พูดเก่งจริงช่างวางเรื่องเป็นฉาก ๆ ” เขาเหน็บคำเย้ยเพราะนี่ไม่ใช่วิธีหากินอย่างใหม่เลย
เด็กน้อยคงจะมองผ่านกระจกเข้ามาเห็นเสื้อขาวแขนยาวที่เขาสวมกลัดกระดุมทุกเม็ดเนคไทสีเข้มผูกคอห้อยเสริมบารมีให้ดูเข้มขลังขึ้นจึงตัดสินใจเข้ามาขอเงินเอาดื้อ ๆ ทั้งที่จริงแล้วกระเป๋าของเขาไม่ได้มีบารมีเหมือนเครื่องแต่งกายเลยยิ่งย่างเข้ากลางเดือนเช่นนี้เขาต้องเข้มงวด
เรื่องการใช้จ่ายมากขึ้นตำแหน่งการงานดูเหมือนจะมีฐานะ แต่ความไม่รุดหน้าของกิจการทำให้ บริษัท จ้างในอัตราต่ำเขาไม่มีที่ไปงานหายากจึงยอมเป็นลูกจ้างโดยไม่เอ่ยปากต่อรอง
วิธ เป็นคนต่างจังหวัดกระเสือกกระสนเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯได้พอครึ่งๆกลางๆเคยประสบสภาวะอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อยครั้งทำให้เขาเข้าใจพิษสงของมันดีความทรมานในกระเพาะลำไส้ถูกบีบบิดจนเจ็บปวดยังไม่เท่าความหวาดกลัวความเจ็บร้าวเสียดแทงอยู่ในสำนึกชีวิตว่างโหวงยามเดินเตะฝุ่นกลางกลุ่มคนแปลกหน้ารีบร้อนและไม่มีความสนใจช่างโดดเดี่ยวอย่างน่าเศร้าดังนั้นความเข้าใจต่อความรู้สึกของคนผู้ยากไร้น้ำใจเรามีอยู่และไม่เคยจางหาย ..
 แต่กับวิธีหากินของเด็กชายเขาไม่เห็นด้วยและจะไม่ส่งเสริมเด็ดขาดเพราะนั่นคือการผลักดันให้เด็กก้าวไปสู่ชีวิตมืดอับอย่างใจเย็น
“ พี่ไม่มีเงินให้หรอกเห็นมั้ยวันนี้ขายของแทบไม่ได้เลย” เขายกที่เสียบบิลให้ดูเพิ่งมีเพียงสีห้าใบ
“ ไปซี่ไม่ให้หรอก” พนักงานขายคนหนึ่งตะคอกด้วยเสียงกระด้างจากมุมของร้านเด็กชายหมุนตัวช้าๆอย่างไม่ลังเลก้าวผลักบานประตูออกไป
เขายังอยากดูบทบาทของเด็กน้อยว่าจะหลอกลวงใครอีกจึงตามออกมาแกเดินคอตกออกไปนั่งเบียดหญิงชราทำหน้าเศร้า ๆ อยู่ตรงมุมร้านนั้นเองแง้มประตูออกไปเพื่อมองหญิงชราให้ชัดยิ่งขึ้นใจเขาพลันดวงตาทอดไปยังถนนเลื่อนลอยท่อนขาในสั้น
กางเกงสีดำหลวมโพรกทอดเหยียดออกไปคล้ายล้าระโหยท้อแท้กับชีวิตเต็มที่ปากขมุบขมิบเหมือนกำลังพึมพำเสื้อสีเนื้อคอรูปสี่เหลี่ยมสะอาดสะอ้านเส้นผมสีดำแซมอยู่ในสีเทาเรียบร้อยดูแล้วไม่มีริ้วรอยของคนหากินเช่นนี้เลย
จะแปลกอะไรกับเครื่องแต่งกายคนหากินแบบนี้ต้องพรางตัว "ส่วนหนึ่งของความคิดบอกเขาเช่นนั้นถ้าเป็นคนบ้านนอกจริงๆเด็กนั้นน่าจะมีท่าทางขลาดกลัวประหม่ากว่านี้และไม่ใช่พูดภาษากรุงเทพฯอย่างไม่มีทางเสียงเหน่อ ๆ สักนิด
หรือว่าจะตกรถจริงๆ” อีกส่วนหนึ่งแย้งขึ้นให้เกิดความลังเล
เขาแทรกตัวออกไปนอกประตูร้านคราวนี้เห็นถึงแววรัดทนท้อของหญิงชรารอยเหี่ยวย่นพาดเป็นแนวบนดวงหน้าร่องแก้มเป็นสายลึกทุกอย่างที่ปรากฏหมอนหมองราวกับชีวิตที่เหลือห้อยร่องแร่งอยู่กับวันเวลาถูกเขย่าแรง ๆ ด้วยมือแห่งความอับโชคแกว่งไกวไหวโยน
เขาถอนหายใจลึก ๆ เมื่อเห็นทรวงอกของหญิงชราสะท้อนขึ้นลงช้าๆแล้วนึกเห็นภาพของตัวเองในระยะหางานทำไม่ได้นอนหายใจระรวยอยู่ในห้องเช่าของเพื่อนท้องขลุกขลิกไปด้วยน้ำประปาบางวันเดินตะลอน ๆ ฝ่าแดดฝุ่นผงและไอพิษจากท้องถนนไปตามบาทวิถีจากลาดพร้าวถึงพระโขนงเพียงเพื่อข้าวสักมื้อและค่ารถประจำทางจากเพื่อนสนิทที่ได้งานทำแล้วหรือทอดน่องไปตามความยาวของถนนอย่างไร้จุดหมายท้องและกระเป๋าแห้งแฟบซาดิกอย่างไม่มีทางออกอยู่ในสมอง
" กับเงิน ๑๐ บาท ๒๐ บาท.: เขาควานมือลงไปแตะกระเป๋าสตางค์
ในกระเป๋าหลังกางเกงเมื่อสำนึกด้านที่อ่อนโยนถูกคาดคั้น”
“ จะบ้าหรือไง” ส่วนที่ไม่เห็นดีด้วยคัดค้านแข็งกร้าวการส่งเสริมให้คนทอดตัวลงเป็นขอทานไม่ใช่สิ่งถูกต้องและนี่คือการหลอกลวงกันโดยอาศัยโครงเรื่องที่น่าสงสารเป็นสื่อง่ายๆ
เขาตกอยู่ในวินาที่อันทรมานลังเลชะงักงันและรู้สึกว้าวุ่นบอกไม่ถูกความเปราะบางแห่งธาตุมนุษย์เฉพาะตัวถูกผลัดกันแกว่งเล่นโยนไหวไปมาอย่างสับสนเจ็บร้าวความจริงเขาเคยใช้จ่ายซื้อความบันเทิงเริงใจจากภาพยนตร์หรือดื่มกินอย่างไร้ประโยชน์ทุกๆต้นเดือนอย่างไม่เคยนึกเสียดายและถ้าจะเจียดออกมา ๑๐ บาท ๒๐ บาทคงไม่ทำให้เขาถึงกับต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ทำไมเขาต้องยอมถูกหลอกเล่า
ปล่อยบานประตูให้เลื่อนกลับเข้ามาปิดสนิทอย่างเดิมหมุนตัวกลับเข้ามาในร้านยืนครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะไต่บันไดขึ้นไปชั้นบนเขาหงุดหงิดกับตัวเองยอมให้เรื่องเพียงขี้ผงสั่นสะเทือนความรู้สึกจนไม่สบายใจ
“ นี่เมื่อสักครู่มีเด็กมาขอเงินบอกว่าไม่มีค่ารถกลับบ้าน” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆกับกลุ่มพนักงานบัญชีที่นั่งแต่งหน้าทาเล็บกันตามสะดวกเพราะผู้จัดการทั่วไปออกไปข้างนอกคนกลุ่มนั้นยั้งมือเพียงอึดใจเดียวแล้วกระทำกิจของตัวต่อ
“ ให้ไปหรือเปล่า” คนหนึ่งถาม
“ เปล่า "เขาตอบ
คนหนึ่งจีบปากจีบคอว่า
" ดีแล้วไม่ต้องไปสนใจหรอกมีอย่างนี้บ่อยรำคาญจะตาย” อีกคนหนึ่งจีบปากจีบคอว่า
“ แต่ถ้าเขาตกรถจริงๆน่าสงสารนะ”
“ โอ๊ยไม่ต้องหรอกย่ะ! มีปัญญามาควรมีปัญญากลับ "คนเดิมเน้นเสียกระแทกกระทั้นแล้วกลับไปง่วนอยู่กับการเกร็งริมฝีปากให้ยิ่งแต้มสีแดงอยู่หน้ากระจกบานน้อย
เขารู้สึกเสียวแปลบอยู่ในใจราวกับคำของคู่สนทนาที่มแทงตัวเองใบหน้าชาวบเหมือนถูกตบฉาดใหญ่ยืนเช่ออยู่นานผู้คนในยุคสมัยอารยธรรมเพื่องฟูเพียงแค่จะหยุดนิ่งฟังอย่างสนใจสักนิดยังไม่มีราวกับว่าพวกเขาได้เทน้ำใจทิ้งลงไปในท่อระบายน้ำมหึมาแห่งเมืองใหญ่จนไม่เหลือสักหยดคาค้างในใจ
อึดใจนั้นเขารู้สึกโกรธ. แต่เมื่อเริ่มใคร่ครวญคนพวกนี้จะเข้าใจด้วยอารมณ์อย่างเดียวกับเขาได้อย่างไรในเมื่อบางทีพวกเขาอาจจะไม่เคยลิ้มรสขมสาหัสของความทุกข์อย่างที่ตัวเขาเคยได้รับและเรื่องราวเช่นนี้หลอกต้มคนมาโดยตลอดเขาต่างหากเข้าถึงรสชาติของความหิวโหยทำร้ายความรู้สึกได้ปวดลึกเพียงไหน
เขาเขากลับลงมานั่งชั้นล่างด้วยความรู้สึกว้าวุ่นคนต่างวัยคู่นั้นไม่ว่าในฐานะคนตกรถหรือขอทานได้ถูกทอดทิ้งจากคนอื่นแล้วโดยสิ้นเชิงควักกระเป๋าสตางค์หยิบธนบัตรสีเขียวออกมากำไว้ตรงดิ่งไปที่ประตู
เด็กและหญิงชราหายไปแล้ว
“ ดีไปเสียได้ก็ดีหมดเรื่องหมดราวกันที” เขาพูดเบา ๆ กับตัวเองในหัวเหมือนเบาโหวงขึ้นเสคิดไปว่าตอนเย็นจะแวะไปหาคนรักเอาเงิน
จำนวนนี้ซื้อขนมหวานไปฝากเธอคงจะเพิ่มความเห็เหลือบมองไปจุดเก่าราวได้เห็นหญิงชรากับเด็กชายอ่อนโรยแรงเขาคิดถึง แต่พอเ ๕ แม่ขึ้นมาจับใจ .. 
แล้วความอ้างว้างอย่างน่ากลัวกระหนำเข้ามา
แม่ที่บ้านนอกวัยคงไม่ต่างกับหญิงชราเท่าใดนักเคยเดินทางมากรุงเทพฯโทรเลขมาให้เขาไปรับที่สถานีรถไฟตอนเช้าตรู่เขาช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงแค่นั้นแววตาแม่บอกถึงความตื่นตระหนกและขลาดกลัวเอากับความใหญ่โตอึกทึกผู้คนยั้วเยี่ยพล่านสับสนและรีบร้อนแปลกหน้าไร้ความหมายต่อกัน
เขาออกไปสอดส่ายมองหาคนต่างวัยคู่นั้นอีกครั้งหงุดหงิดงุ่นง่านเมื่อปราศจากเงาบนถนนว่างเปล่าริมบาทวิถีรถจอดสงบนิ่งต้นไม้ตายซากบางต้นมีแค่ใบหร็อมแหร็ม. เรื่องเล็ก ๆ นี้กลายเป็นเข็มคอยทิมตำสำนึกเป็นระยะ ๆ แล้วลุกโพลงขึ้นเป็นไฟส่องให้เห็นเรื่องราวอื่น ๆ แผงฝังอยู่ในสำนึกอีกมากมายยิ่งทำให้ทุกข์ใจ
เด็กนั่นน่าจะสั่นสักนิดเสักนิด” เขาคิดอย่างแค้นเคือง
ได้จบสิ้นเสีย แต่แรกเริ่ม
เรืองคนอย่างเขาเปราะบางเกินไปและโง่เง่าจนน่าขันเขาคิดขณะเดินหงอย ๆ กลับเข้ามาในร้าน
“ ยายเฒ่าแกบ่นอะไรนะความทุกข์ความใจดำหรือว่าคำแช่งชักหักกระดูก” เขานั่งลงฟุบหน้ากับท่อนแขนบนเคาน์เตอร์แคชเชียร์อารมณ์กระเจิดกระเจิง
ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเขานั่งชะเง้อชะแง้อยู่ที่สถานีรถไฟในยามอดหิวและจนตรอกด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าอาจจะมีคนรู้จักจากรถไฟสายแล่นผ่านสถานีบ้านเขาสู่กรุงเทพฯเพื่อขอความช่วยเหลือในวันที่ช่องทางแห่งชีวิตปิดสนิดมืดบอด แต่มันเป็นเพียงฝันแล้ง ... นานความหิวโหยประเดประดังเข้าบีบรัดแน่นหนาใจสั่นริกๆแทบจะขาดรอนสมองเหวี่ยงหมุนจนหน้ามืด ... หญิงชราแปลกหน้าเป็นแค่คนผ่านทางหยิบยื่นความปรานี้ช่วยเขาไว้
เรื่องราวอย่างนั้นกำลังผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ เหมือนภาพยนตร์ข่าวเก่า ๆ ฉายวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีกเขาถูกบีบคั้นด้วยแรงประหลาดค่อยๆโถมเข้ามาจนไม่อาจต้านทานแม้พยายามสลัดออกก็ไม่เป็นผลนานจนอึดอัดและหวาดหวั่นแล้วเขารู้ว่ามันไม่ใช่ของง่ายที่จะปลดเปลื้องเพราะนั่นคือแรงแห่งพันธะบางอย่างคนอย่างเขาควรจะมีรัดรึงสำนึกไว้อย่างไม่อาจกระดิกกระเดี้ย


เสียงบรรยาย 
https://drive.google.com/file/d/1sylXF37F21-5aEv_sO_CNz6lkG8xNpry/view?usp=sharing

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น